Tone : ตลก, เบาสมอง, ภาษาเน้นอารมณ์, มุมมองแบบเด็กอายุ 17
Key message : การทำในสิ่งที่ไม่เคยกล้าทำ, การฝืนความกลัว, การปรับตัวในสังคมใหม่
เรื่องนี้เล่าผ่านเจม ที่เป็นเด็กที่ไม่มีความกล้า วันหนึ่งสอบโครงการแลกเปลี่ยนแล้วผ่านมา 2 คะแนน
นี่จึงเป็นเรื่องราวของเจม เด็กเกรียน พูดอังกฤษไม่ได้ เดินทางไปเรียนในโรงเรียนไฮสกูลอเมริกัน ที่ทุกคนกล้ากันหมด
แต่ภาระกิจของเจมก็ยากไปอีก เพราะเจมอยากพาผู้หญิงคนหนึ่ง ไปงานเต้นรำให้ได้
คำเตือน : เรื่องราวในหนังสือเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นครั้งแรกในปี 2008 ผ่านมุมมองของเจมในวัย 17 ปี เนื้อหาจึงมีความตรงไปตรงมา และตัวละครในวัยนี้ยังมีวิธีคิดที่ยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง
“เที่ยวบิน UA 897 ที่จะเดินทางไปยังสนามบินนาริตะประเทศญี่ปุ่น กำลังจะออกเดินทางภายในห้านาทีนี้”
ผมอึ้ง เพราะเสียงประกาศขานเที่ยวบินที่ตรงกับบนตั๋ว ผมอึ้ง เพราะเหลือเวลาอีกห้านาทีประตูจะปิด ผมอึ้ง เพราะเวลาคับขันสุดชีวิต ดันขยับตัวไปไหนไม่ได้...
กูยืนฉี่อยู่ เพื่อนร่วมทางอีกสี่คนที่เหลือก็คงจะฉี่อยู่เหมือนกัน…
เรื่องมันเกิดจากความมั่นใจตั้งแต่เช้า ที่ดันเลยขีดความมั่นปกติมาไกล ซึ่งก็น่าจะมีที่มาจากความภูมิใจในความกระหายอยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาแรมปี
จนกระทั่งวันนี้ ผมกำลังดีใจที่ได้รับอิสรภาพ เข้ามากราบถึงเทอร์มินอลขาออกแล้ว ยังไงๆ กูก็ต้องได้บิน
เพราะคิดอย่างนั้น...
พอคิดอย่างนั้นผมก็เลยหลุดปากบอกเพื่อนไปแบบโคตรมั่นใจว่า
“ค่อยๆ เยี่ยวกันก็ได้ ไม่ต้องรีบ เหลือเวลาอีกเยอะ”
แต่ที่ไหนได้ กูเคยขึ้นแต่รถไฟไทย...
...
“ชิบ หาย!”
เสียงสบถดังออกมาจากห้องน้ำ ว่าที่นักเรียนแลกเปลี่ยนทั้งห้า วิ่งออกมามองหน้ากันด้วยสภาพหน้าตาที่โคตรสิ้นหวัง
“มึงจะรออะไรเล่า วิ่งงงง!!!”
ใครสักคนในกลุ่มตะโกนขึ้น ผมไม่ทันได้สนใจ พอตกใจก็ได้แต่วิ่งพร้อมนับนิ้วจำนวนสนามบินที่ตัวเองต้องต่ออีกสามทอด
ไปนาริตะ ไปซีแอตเทิล ไปสโปแกน
ไปไม่ทันเที่ยวบินนี้ เที่ยวบินอื่นก็ต้องเลื่อน พอเลื่อนก็จะถึงที่หมายไม่ตรงเวลา พอถึงไม่ตรงเวลา โฮสต์ก็จะไม่มารับ พอโฮสต์ไม่มารับ นั่นก็หายจริงๆ ละ
หายสาบสูญแน่กู...
เพราะผมไม่สามารถโทรไปอธิบายว่า “เออ ผมตกเครื่องครับ เที่ยวบินผมเลื่อนครับ รบกวนมารับผมอีกสองวันได้ไหมครับ...”
ไม่! กูไม่คิดว่าจะสามารถอธิบายประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษได้ด้วยภาษาระดับประถมที่มี!
ฉะนั้น ยิ่งการคุยกับพนักงานสนามบินในต่างประเทศ ลืมมันไปได้เลย
กูจึงวิ่งสุดชีวิต!!!
วิ่งหน้าตื่นเหมือนมีระเบิดวางไว้อยู่กลางเทอร์มินอล พลางคิดไป ว่ากว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้เลือดตาไส้ติ่งนี่แทบกระเด็น
ความคิดก็ยิ่งเค้น ยิ่งทำให้ผมวิ่งแหกปากตะโกนแบบไม่สนใจอะไรสักอย่าง
จนกระทั่ง
“เฮ้ย เดี๋ยว หยุด!!”...
“แล้วเกต อยู่ไหนวะ?”
“...”
อ้าว ไอ้...ควาย
คงจะมีใครสักคนกำลังด่าคำนี้กับคนที่วิ่งนำอยู่ในใจ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ผม
เพราะผมเป็นคนวิ่งนำ...
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ต่างเชื้อชาติ ต่างจุดหมาย ห้านักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ในสภาพที่เหมือนอะไรกำลังจะหาย ในวินาทีสุดท้ายเพราะหาจุดหมายไม่เจอ
ยืนหอบอยู่กลางเทอร์มินอลหนึ่งในสนามบิน อนาคตมืดสนิทไม่รู้จะไปต่อยังไง นี่มันก็น่าจะเกินห้านาทีแล้ว ใจคอชะตากรรมอยากให้เราสะดุดขาตัวเองล้มหน้าแหกตั้งแต่ยังไม่ออกประเทศ
จริงๆ เหรอ...
แต่แล้วในวินาทีที่คับขัน ก็มีเสียงสวรรค์ลอยลงมาจากฟ้า สถิตเป็นถอยคำสวยงามราวกับภาษาของเหล่าเทพยดา
ที่แปลเป็นภาษาคนได้ว่า...
“น้องหลงทางเหรอคะ?”
...
ผมว่าพี่น่าจะฟันธงได้แล้ว ตั้งแต่เห็นสภาพพวกผมแหกปากตะโกนมาตั้งแต่สุดเทอร์มินอล
กราวน์สาวเดินเข้ามาถาม ผมได้แต่ยืนหอบและยื่นตั๋วเครื่องบินให้ไป
“คือพวกผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน...
กำลังไปอเมริกา... แต่ไม่รู้ว่ายัง...”
...
“ยังทันค่ะน้อง รีบเลย เกตนี้กำลังจะปิดพอดี”
!!!
: คนเดียว
ผมชื่อเจม อายุ 17 เป็นเด็กเกรียนติดเกม ไม่เคยออกจากบ้าน แต่วันนี้เสือกผันตัวเองอยากมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
นอกจากที่ผมจะตกภาษาอังกฤษ โง่คณิต และเล่นกีฬาไม่เก่งแล้ว ผมก็ยังทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
ล่าสุดที่พยายามจะเป็นผู้นำ กูก็เกือบทำเพื่อนอีกสี่คนตกเครื่อง...
แล้วเราห้าคนก็เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ขึ้นมาบนเครื่อง
การเป็นห้าคนสุดท้ายบนเครื่อง ทำให้ทุกสายตาจับจ้อง พวกเรากลายเป็นที่สนใจของทุกคน
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว...
เพราะกูหล่อ...
ซะที่ไหนกัน
เพราะมึงช้า โว้ยยย!!!
แต่แล้วปัญหาก็เหมือนจะยังไม่หมด เมื่อที่นั่งบนเครื่องจัดให้เราทั้งหมดนั่งห่างกัน
คนหนึ่งนั่งหัว สองคนนั่งท้าย อีกคนริมซ้ายสุด โดยที่มีผมนั่งหัวโด่อยู่กลางลำ ไม่มีเพื่อน ไม่มีของเล่น ไม่มีคนให้คุยด้วย
แล้วจะให้ผมทำอะไร
ไม่เข้าใจโครงการแลกเปลี่ยนนี้เลยจริงๆ
คือเข้าใจไหมว่าตื่นเต้น นี่กำลังจะไปอเมริกา ตื่นเต้นจนตอนนี้เสียวซ่านไปทั้งตัว ทำอะไรไม่ได้
ให้นั่งเฉยๆ ก็ไม่ได้ นอนยิ่งนอนไม่ได้ใหญ่ เพราะสภาพพนักเก้าอี้มันตั้งจนหลังกูตรงเป็นนกนางแอ่น ไหนช่วยบอกหน่อยว่าผมควรจะทำอะไรห้าชั่วโมงจากนี้
แล้วพี่แอร์หน้าไทยๆ คนหนึ่งก็เดินเข้ามา
เข้ามาข้างๆ แล้วพูดภาษาอังกฤษ...
กับผม...
“Anything to drink?”
...
อาจเป็นเพราะกูดูลุกลนผิดปกติ เขาจึงเดินเข้ามาสะกิดเสนออะไรปิดปาก แต่ปัญหาคือพี่ช่วยพูดไทยกับผมได้ไหม หน้าตากูตี๋ปั่นด้ายขนาดนี้
แต่ถ้าหากพี่ยังยืนยันว่าไม่ จะให้ผมประเดิมพูดภาษาอังกฤษกับพี่เป็นคนแรกเลยก็ได้
“ไอว้อน โคคาโคล่า”...
ซัดสำเนียงไทยไปเต็มๆ...
คือไม่รู้ว่าโค้กภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร แต่เห็นข้างกระป๋องมันเขียนว่า “Coca Cola” กูก็เลยนึกว่าโคคาโคล่า...
“Sorry?”…
ซอรี่อะไร... นี่พี่ไม่รู้จักเหรอ โค้กอ่ะโค้ก
“โค – คา – โค – ล่า” เข้า – ใจ – ไหม ?
“SORRY?”
“...”
นังแอร์ นี่กูแทบจะสะกดให้มึงอยู่แล้วนะ ต้องให้เขียนด้วยไหม อะไรกันนักหนา พอกันที!
“พี่ครับ ผมขอน้ำเปล่า!!”...
“อ้าว น้องคนไทยเหรอคะ!?”
เหอะๆ... แล้วทำไมพี่ไม่พูดไทยกับผมแต่แรกเล่า!
ความตื่นเต้นลดลงแปรผกผันกับความหน่าย ความหน่ายเริ่มทำให้ล้า ความล้าเริ่มทำปฏิกิริยาห่าเหวอะไรไม่รู้กับร่างกายเต็มไปหมด
รู้แต่ว่าพอมันเริ่มหนัก หนังตาก็หย่อน กระทั่งเวลาเปลี่ยนแสงอาทิตย์กระแทกเข้าหน้า ห้าชั่วโมงต่อมาภาพเบื้องล่างเปลี่ยนจากพื้นน้ำเป็นผืนนา
ความตื่นเต้นก็กลับมาทำปฏิกิริยาอีกครั้ง
เฮ้ย!!... โตเกียวมีนาด้วยเหรอวะ?
นาริตะ / โตเกียว / ญี่ปุ่น
สนามบินนาริตะ (Narita International Airport) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโตเกียวหนึ่งชั่วโมง ด้วยรถไฟขบวนที่เร็วที่สุด (เปิดกูเกิลมา)
แต่ที่น่าแปลก สนามบินนาริตะเป็นสนามบินนานาชาติของญี่ปุ่นที่มีผู้ใช้บริการน้อยกว่าสนามบินในประเทศ (Henade Airport) ซึ่งรองรับผู้โดยสารมากเป็นอันดับสี่ของโลก (นี่ก็เปิดกูเกิลมาเหมือนกัน)
เท้าก้าวแรกเหยียบสนามบิน พร้อมๆ กับความอินในความเป็นญี่ปุ่น สาวญี่ปุ่นที่เคยจิ้นวันนี้ผมได้มาเห็นกับตาแล้ว การันตีตรงนี้เลย
ขาวๆ ขาโตๆ ทั้งนั้น!
สนามบินก็ใหญ่ดูสะอาดตา เรียกได้ว่าหรูหราเมื่อเทียบกับสนามบินดอนเมืองที่ผมจากมา เดินจนทั่ว เจอสถานที่หนึ่งเห็นแล้วตื่นเต้น จนอยากจะแนะนำ ใครที่ไม่เคยไปญี่ปุ่น อยากอึ้ง
ให้แวะห้องน้ำ เป็นที่แรก
ย้อนกลับไปหลายปีที่แล้ว เมื่อห้องน้ำบ้านเรายังไม่มีระบบเซ็นเซอร์
“เฮ้ย! ทำไมน้ำไม่ไหลวะ!?”
ผมโวยวายหลังจากใช้ห้องน้ำเสร็จ มือเลอะ แต่น้ำดันไม่ไหล
เพื่อจะคอยดูว่าทำยังไงให้น้ำไหล ผมจึงจำต้องทำทีว่าประทับใจกับห้องน้ำ ยืนมองกำแพง ประหนึ่งเป็นคนบ้ายืนชมงานศิลป์
กระทั่งมีคนออกมา ก็ได้ยินเสียง
“แฉ่…..!!”
กูอึ้ง รีบหันไปหาปุ่ม แต่ไม่เจอ ไม่มีปุ่มแมวอะไรให้กดที่นี่เลย
ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ ก๊อกน้ำอัตโนมัติ สบู่อัตโนมัติ กระดาษทิชชูอัตโนมัติ ส้วมแม่งก็ยังอัตโนมัติ
ซึ่งอัตโนมัติทำไม บางอย่างไม่ได้จำเป็นเลย โดยเฉพาะส้วมเนี่ย!!
คือนี่พวกคุณรู้กันบ้างไหม ระบบอัตโนมัติของส้วมมึง ระดมยิงน้ำใส่ตูดจนกูเสียวซ่านไปหมด ลุกแทบไม่ขึ้น
เข้าใจว่าอลังการ แต่มึงช่วยเอางบประมาณไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นกว่านี้ได้ไหม อย่างเช่นไอ้สบู่ล้างมือเนี่ย มันจำเป็น ทุกคนต้องใช้ มึงไหลอัตโนมัติก็จริง แต่กลิ่นมึงแม่ง...
“สบู่หรือเยี่ยวเนี่ย!!!”
กลิ่นเหมือนสะตอผสมพันธุ์กับทุเรียน สบู่บ้านป้าที่ไหนกัน เท่าที่กูเรียนหนังสือมา มันควรจะมีกลิ่นหอมไม่ใช่เหรอ
แต่นี่อะไร บอกกูมามึงผสมอะไรเข้าไป?
พวกเราห้าคนมาที่นี่เพื่อต่อเครื่องไปยังอเมริกาสู่สนามบินที่เป็นจุดหมาย สี่คนนั่งเครื่องไปลงชิคาโก หนึ่งคนนั่งเครื่องไปลงซีแอตเทิล
และหนึ่งคนนั้น...
คือกู
ยืนสงบนิ่งสามวินาที...
บทสรุปงานนี้ไม่หลง กูก็คงโดนจับไปขายที่เอธิโอเปีย...
ท่ามกลางอนาคตที่มืดสนิท ผมตั้งสติ พลางปลอบตัวเองว่าบนเครื่องน่าจะพอมีคนไทยให้คลอเคลียถูไถไปได้บ้าง เพราะตอนที่ไปส่งเพื่อนไปชิคาโกข้างล่างยังเห็นเกือบครึ่งลำ
ทว่านั่น ก็เป็นเพียงความคิดที่กูหลอกตัวเองล้วนๆ
เพราะความจริง มันไม่มีเลย ไม่มีที่ดูว่าน่าจะเป็นคนไทยมายืนต่อแถวเลยสักคน...
ท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้าย...
สภาพกูตอนนี้เปรียบเสมือนอัศวินน้อย ที่ฟันดาบไม่เป็น...
“เออ... ไอโกทู อเม่-หริก๋า”
ความพยายามที่จะแสร้งว่าฟันดาบเป็น กลับทำให้ดูโง่ยิ่งกว่าเดิม กูจึงปล่อยเลยตามเลย ยอมยืนโง่อยู่ในแถว
แต่แล้วทันใดก็มีเสียงผู้หญิงแว่วขึ้น
“แอเพะ ทิเกะ ปิ๊”...
“แอะเพะ พิกะปิ”
พนักงานต้อนรับหน้าสวยสไตล์หมวยญี่ปุ่น เหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่างก่อนที่ผมจะขึ้นเครื่อง
แต่อะไร พูดอะไรของมึง กูได้ยินอะไร พริกกะปิๆ แล้วไอ้น้ำพริกกะปิมันมาเกี่ยวอะไรกับการขึ้นเครื่องด้วยล่ะวะ
ลำพังภาษาอังกฤษของฝรั่งผมก็รู้สึกลำบากมากพอแล้ว นี่มาเจอภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่น ออกเสียงแบบวูบวาบ แต่ละคำโคตรสั้น สำเนียงจะจัดไปไหน ถ้าพี่จะพูดกับผมแบบนี้ พี่พูดภาษาญี่ปุ่นมาดีกว่าไหม
“นะ พิ กะ ปิ๊”..
“...”
นี่ – มึง – ยัง – ไม่ – เลิก ?...
กูไม่มีน้ำพริกกะปิ!! จะให้กูเปิดกระเป๋าแหกให้มึงดู มึงก็จะไม่เจอน้ำพริกกะปิอยู่ดี!! เพราะกูไม่กิน!!
มึง – เข้า – ใจ – ไหม?
“นำ พิ๊ก กะ ปิ(ส์)?”
…
ต่อยแม่งงง!! มึงมีเอสทำไม?... หา!! มึงจะเอากะปิหลายกระปุกหรือยังไงวะ?
โว๊ยยยยยย!!!
“Airplane Ticket, Please!”
…
หะ...
พนักงานสาวอีกคนพูดขึ้นแทรก
พนักงานคนเก่าพูดย้ำตบอีกที
“แอะเปลโนะ ทิเกะโตะ พลิสึ”
“...”
อ๋อ...
ครับๆ เดี๋ยวหยิบให้ครับ...
วิวทิวทัศน์ขณะพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าญี่ปุ่น ทำให้ผมตื่นเต้นจนหลับตาไม่ลง เอ็มพีสามที่เอามาฟังเพื่อให้หลับลง ก็ดันรุมเร้าสร้างความเสียวให้หลับไม่ลงหนักเข้าไปอีก
ผมจึงโยนทิ้ง เลือกจับสมุดบันทึกขึ้นมาบรรยายเหตุการณ์แทน
ผมได้ที่นั่งข้างหน้าต่าง...
โชคดีคือได้ดูวิว โชคร้ายคือกูนั่งในสุด...
ทีแรกก็ลุ้นๆ เผื่อจะโชคดีมีสาวญี่ปุ่นหรือเกาหลีหน้าตาดีๆ มานั่งข้างๆ แต่มันเป็นเพียงความเพ้อฝัน เพราะความจริงแล้วชะตากรรมและสวรรค์นั้นโหดร้ายกับผม
ดันเป็นลุงฝรั่งตัวใหญ่ๆ หนวดเฟิ้ม หน้าตาโคตรไม่รับแขก ไม่รู้ยัดหรือแดก อ้วนจนน้ำหนักเหยียบสองร้อย มานั่งขวางทางออก
แล้วงี้... กูจะได้เยี่ยวไหม
คือถ้าออกไปที ลุงนี่ต้องเดินไปสุดทางเดินผมถึงจะเข้าห้องน้ำได้ หนักกว่านั้นคือเวลาหลับ กูจะปลุกยังไง แล้วถ้าตื่น เขาจะฆ่ากูไหม
แล้วการขอไปห้องน้ำ ภาษาอังกฤษมันพูดยังไง
I want to pee... เหรอ?
อีกอย่างที่ข้องใจคือแอร์บนไฟลท์นี้ ขึ้นมาปุ๊บนึกว่าหลงมาอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์
แต่ละคนนี่เหี่ยวมาก ประหนึ่งว่าเทียบกับตอนบินจากไทยก็น่าจะต่างราวสองชั่วอายุคน
แล้วสิบสองชั่วโมงครับ...
สิบสองชั่วโมงกับสภาพแวดล้อมชวนเครียด นั่งเบียดกับลุงฝรั่ง พนักเก้าอี้ตรง นั่งชมแอร์เหี่ยว และหนังซับอังกฤษที่เปิดอยู่เรื่องเดียวตลอดเที่ยวบิน
เพราะอะไรครับ ผมไม่ได้ถามตัวเอง แต่ถามสายการบิน
เพราะอะไรถึงไม่ให้กูเลือกหนัง?
นครชัยแอร์ยังให้กูเลือกเลย!!
เขียนไปบ่นไปกระทั่งตะวันลับขอบฟ้า ความเมื่อยล้าจากการลุ้นทั้งวัน ก็ทำให้ตาเริ่มปิด
ผมเก็บปากกา วางสมุด หวังว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา แสงสว่างจะส่องต้อนรับการเยือนสู่ทวีปใหม่
อเมริกาที่ฝันมานาน อเมริกาที่เป็นจุดหมายปลายทาง
อเมริกาที่เหมือนจะเป็นที่เริ่มต้นอะไรบางอย่าง
อเมริกาที่ผมคิดมาตลอด ว่าพร้อมกับมันแล้ว...
“Citizen”...
เออ... Citizen นี่แปลว่าอะไรวะ?
แล้วเท้าก้าวแรกก็เหยียบอเมริกา ความเสียวที่ไม่อยากพกมามันก็พาให้ความตื่นเต้นกลับมาอีกครั้ง
เมื่อเดินลงเครื่องตามตูดชาวบ้านมา กระทั่งถึงทางแยกด่านตรวจเข้าเมืองอเมริกา ไม่รู้ว่าต้องเดินเข้าช่องไหน
ความจริงโครงการแลกเปลี่ยนที่ผมมา จัดค่ายเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนถึงสองครั้ง รวมทั้งหมดสิบสามวัน เพื่อฝึกภาษา ให้ความรู้ และจำลองสถานการณ์ทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการอยู่ และการเดินทาง เขาสอนหมดแล้ว สอนทุกอย่าง
แต่ผมไม่เคยจำ
“ควายมาก”
Citizen แปลว่าอะไรนะ...
แล้วอีกอันไอ้ฟอๆ นี่... ฟอออเรสเซนส์ หลอดไฟหรือเปล่า?
จำต้องตามชาวบ้านเขาไป ตามไปจนรู้ว่า Citizen แปลว่าพลเมือง ถ้าไอ้คนนอกเมืองอย่างผมต่อแถวแบบไม่รู้ กูจะเข้าเมืองไม่ได้
ต้องไปต่อแถวที่เขียนว่าฟอๆ ที่แปลว่าชาวต่างชาติ
สิ่งเดียวที่จำได้จากโครงการคือเรื่องเวลา คงเพราะกลัวตกเครื่องและอยู่คนเดียว จึงกระเสือกกระสนมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับเวลาของที่นี่ ที่ต่างจากไทยถึงสิบสี่ชั่วโมง
ทันทีผมสะกิดสองหนุ่มตาตี่ ซึ่งน่าจะเป็นเกาหลีที่ยืนอยู่ในแถวข้างหน้า
และนี่ก็เป็นการใช้ภาษาอังกฤษครั้งแรกในชีวิตจริงของผม
“ว๊อดทาม อี๊ด อิด?”...
แล้วนั่นล่ะ การเดินทางในโลกแห่งความจริง... ก็เริ่มต้น
ตอนนี้เก้าโมง ภารกิจของผมคือการหาเกตยี่สิบสอง ที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่ในสนามบินให้เจอก่อนสิบเอ็ดโมง
เพื่อไปขึ้นเครื่องไฟลท์สุดท้ายสู่จุดหมายปลายทาง “สโปแกน”
เมืองใหญ่อันดับสองรองจากซีแอตเทิล ตั้งอยู่ตะวันออกสุดของรัฐวอชิงตัน ผมต้องไปลงที่นั่นเพื่อให้โฮสมารับพากลับเมืองอีเฟรต้าที่อยู่กลางรัฐอีกที
การเดินทางให้ถึงจุดหมายครั้งนี้ เหมือนผจญภัยอยู่ในโลกฮอบบิท ที่เวลาถามใครก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ด้วยระดับภาษาในขั้นวิกฤต ผมเหมือนเป็นอัศวินฮอบบิทที่ต้องเอาแหวนไปทิ้งแต่พูดภาษาเอลฟ์ไม่ได้
จะซื้อน้ำก็กลัว ไม่รู้จะพูดกับเขายังไง สุดท้ายก็จบลงโดยการไปถูๆ ที่เครื่องขายอัตโนมัติ พูดกับตู้ว่ากูจะซื้อมึงนะครับ
แต่พอไปเห็นมันชัดๆ กูก็ไม่กล้าแม้แต่กด เมื่อมึงเขียนว่าน้ำเปล่าราคาหนึ่งเหรียญห้าสิบ ตีเป็นเงินไทยก็เกือบห้าสิบบาท
นั่นน้ำเหรอ!!...
น้ำมึงผสมทองคำแท่งไปด้วยหรือเปล่า แพงไปไหน
เดินไปดูร้านอาหาร แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นบางๆ ก็ราคาแปดเหรียญ แต่คนนี่ต่อแถวยาวราวกับแจกฟรี...
ส่วนไอ้ความคิดที่ว่าไม่มีคนไทยร่วมทางมาด้วย ก็คงจะจริงจัง เพราะเท่าที่สังเกตมีแต่เอเชียหน้าเจ๊ก หมวยตี๋ ตาตี่ ประหนึ่งว่าพี่ลืมทำศัลยกรรม
ไม่มีคนไทย ไม่มีคนไทยเลยสักคนเดียว...
ใจคอชะตากรรมนี่จะไม่ไยดีกับผมเลยใช่ไหม คนไทยพี่ก็จะไม่มาตั้งรกรากกันที่นี่บ้างเลยเหรอ
ทำไม!!
อากาศหนาวไปเหรอไง
ไอ้สองเกาหลีทีแรกกูก็หลงดีใจคิดว่ามึงเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนกู มึงก็ไม่ใช่ เมื่อหน้าตามึงดูฉลาดคล่องแคล่วผิดกับกูเหลือเกิน
รู้ไหม กูเดินเป็นเอเชียหัวดำหลงทาง ภาษาข้างทางกูก็อ่านไม่ออก นี่เดินมั่วจนจะออกไปเดินอยู่นอกสนามบินแล้ว
ภาษาเอเชียที่พอจะมี มึงก็เสือกมีแต่ภาษาเกาหลี ความเท่าเทียมในสังคมนี้มันอยู่ตรงไหน
แล้วชาตินี้กูจะหาเกตยี่สิบสองเจอไหม สนามบินแม่งก็ใหญ่ฉิบหายขนาดนี้...
สนามบินซีแอตเทิล (Sea – Tac Airport) รองรับผู้โดยสารมากเป็นอันดับที่เท่าไหร่ไม่รู้ของโลก แต่ใหญ่จนจำเป็นต้องแบ่งออกเป็นส่วนๆ เชื่อมกันโดยรถไฟฟ้าภายในสนามบิน
มีรถไฟฟ้าเชื่อมระหว่างสนามบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ
มีรถไฟฟ้าภายในประเทศเชื่อมระหว่างเทอร์มินอล
มีรถไฟฟ้าจากแต่ละเทอร์มินอลเชื่อมระหว่างเกต
มีรถไฟฟ้าระหว่างเกตเชื่อมจนกูหลงขึ้นวนไปวนมาอยู่สองสามรอบ พ่นสบถลงพื้นไปอีกไม่รู้กี่รอบ
นี่แม่งประตูขึ้นเครื่อง หรือประตูรถไฟไปฮอกวอร์ดวะเนี่ย...
สุดท้ายกูเดินจนหอบไปไหนไม่รอด จำต้องกลับไปถามหาเกต กับไอ้สองเกาหลีนั่น...
“เออ... ว.. แวอี๊ด เกด ท.. ทะเว้นตี้ทู๋”
ด้วยเสียงกระเส่า กับร้อยเปอร์เซ็นต์เสียงอักขระไทย
สองเกาหลียืนงงไม่เข้าใจ
“Sorry?” เป็นคำที่มันตอบกลับมา
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำใจเย็นๆ และถามมันไปใหม่อีกครั้ง
“เกต – ทะ – เว้น – ตี้ –ทู๋”
ทีนี้ผมพูดไปอย่างระวัง แทบจะสะกดพร้อมทำมือเป็นรูปประตูอยู่ระหว่างคิ้ว พร้อมชูมือสองนิ้วทั้งสองข้าง...
แล้วกระดิก
แต่มันก็คงคิดอีก ว่าผมกำลังตามหากระต่ายที่หายไป
“Sorry?”...
นี่มึงจะให้กูเขียนด้วยเลยไหม ไอ้เจ๊กลืมทำศัลยกรรม ปากกับสัญลักษณ์มือมันยังไม่พอหรือไง เกตอ่ะเกต ไปทางไหน แวโก แวโก โว๊ยยย!!!
“Oh!!, เกเอท?”
หะ..
นี่มันภาษาอะไรวะ คำว่าเกตมึงออกเสียงกันแบบนี้เหรอ กูเรียนภาษาอังกฤษมาสิบเอ็ดปีไม่เห็นจะเคยได้ยิน
จากนั้นมันก็พูดอะไรบางอย่างพร้อมชี้มือไปทางซ้ายซึ่งอาจจะบอกตำแหน่งของกระต่าย หรืออาจจะบอกให้ผมไปไกลๆ แต่ผมไม่เข้าใจ
ในใจได้แต่คิดว่าไปคนเดียวไม่น่ารอด จำเป็นต้องกอดขาเพื่อนต่างชาติแล้วให้มันลากกูตามทางไปด้วย
ผมจึงหน้าด้านอยู่ต่อ
สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง ผมนั่งลง พยายามจะผูกมิตรกับมัน
“อา ยู กะเหรี่ยง?”
“... ...”
คือตั้งใจจะพูดว่าโคเรียน แต่ดันเพี้ยนไปนิด
มันก็ตอบนิดๆ กลับมาว่า “ใช่”
แต่เมื่อการใช้มือผสานกับภาษาที่เกือบใบ้ ไม่ได้ดีอะไรไปกว่าการเปิดทอกกิ้งดิกแล้วจิ้มเสียงให้มันฟัง สองเกาหลีจึงขี้เกียจฟัง แล้วก็ลุกออกไปทิ้งผมไว้อยู่ในภวังค์
แล้วมึงรู้ไหม ภายใต้ภวังค์นั้น กูลืมทางไป
นาฬิกาใกล้เวลาเที่ยง ตอนนี้ใกล้เวลาเดี้ยงแต่ผมยังหาเกตไม่เจอ ขึ้นมาถึงชั้นที่คิดว่าจะเจอก็ยังไม่เจออยู่ดี
ตอนนี้เริ่มกลัวว่าทางที่สองเกาหลีบอกมา จะพาผมไปดูระบำกระต่ายที่สวนสัตว์
จำต้องหยุดยืนทำทีว่าจะซื้อของอยู่หน้าร้าน พยายามสบตาผู้คนที่เดินผ่านเผื่อเขาจะสงเคราะห์ แล้วในวินาทีที่เหมาะเจาะ ก็มีสายตาคู่หนึ่งผ่านเข้ามา ผมรู้สึกเหมือนถูกสะกดด้วยมนตรา
มันคือภาพของหญิงสาวที่น่าจะเป็นญี่ปุ่น รุ่นราวคราวเดียวกับผมลากกระเป๋าใบโตเดินผ่านหน้า พร้อมกลิ่นน้ำหอมจางๆ โชยมา
กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็แบกกระเป๋าขึ้นหลัง จ้ำรองเท้าไนกี้เดินตามเธอมาแล้ว
ตาโต ขาว สวย หุ่นดี เมื่อไปถึงที่เธอก็พลันวางกระเป๋าลงกับพื้น ก้มลงจัดของข้างที่นั่งหน้าเกตนั้น แล้วผมก็ยืนอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น
แม่เจ้า...
ไม่ได้เห็นนม!!!
แต่เห็นเกตยี่สิบสองตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า!!
อยากจะกราบขอบคุณนางฟ้าที่ช่วยพามาถึงที่
ตอนนี้รู้สึกเหมือนอัศวินฮอบบิทที่อาร์เวนพามาถึงริเวนเดล อยากจะตอบแทนนางฟ้าชาวเอลฟ์โดยการลุกไปขอเบอร์โทรที่อยู่พร้อมอีเมล แล้วจัดส่งของสมนาคุณไปให้
เอาอะไรดี...
ดอกลิ้นจี่ดีไหม?
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อภาษาอยู่ในระดับอนุบาล ผมได้แต่ภาวนาว่าจะได้ขึ้นเครื่องลำเดียวกับเธอ
ไม่นานนัก กราวน์เหี่ยวๆ คนหนึ่งก็ออกมาประกาศ ราวกับคำภาวนาเป็นไปตามคาด
เธอลุกขึ้น แล้วเดินเข้าเกตที่ยี่สิบสองมา
เครื่องบินไปสโปแกน เป็นเครื่องบินลำเล็ก
และไม่ได้เล็กธรรมดา
เล็กมาก
ผิดจากภาพจินตนาการของเครื่องบินขนาดหลายร้อยที่นั่งลำก่อนหน้า ที่พาผมบินมาจากทวีปเอเชีย
ลำนี้มันเป็นเครื่องบินเก่าๆ บินด้วยใบพัด มีที่นั่งโดยสารอยู่ไม่กี่สิบที่ เป็นเครื่องบินแฟมมิลี่เล็กๆ ที่ไม่มีแม้แต่เลขที่นั่งด้วยซ้ำไป
ปัญหาก็คือ แล้วจะให้กูนั่งตรงไหน?
ที่คนขับเลยไหม?
นางฟ้าชาวเอลฟ์นั่งอยู่หน้าสุด ผมอยากจะทำเป็นสะดุดล้มหน้ากระแทกแล้วสลบอยู่ข้างๆ ทว่ายังมีที่ว่างอยู่ด้านหลัง และหน้าผมก็ยังด้านไม่มากพอ
แต่ราวกับชะตานั้นเป็นต่อ เมื่อมีออร์คสองตนปรากฎตัว
อยู่ๆ ไอ้สองเกาหลีนั่นก็โผล่ขึ้นมาบนเครื่อง ผมชำเลืองมองด้วยหางตา พยายามจะทักไปว่าทำไมมึงไม่ชวนกูมาด้วยตั้งแต่แรก พยายามแต่งประโยคเพื่อจะด่า เพื่อจะระบายออกมา แต่ไม่ว่าจะแต่งยังไงก็ได้แต่คำว่า
“ฮาย… ฮาว อา ยู๋”
มันก็ตอบกลับมาว่าพวกกูสบายดี แล้วทันทีก็พรวดลงตรงที่ที่ว่างอยู่ด้านหลัง
ทำให้ตอนนี้เหลือที่ว่างอยู่ที่เดียว แต่ผมก็ยังใจปลาซิวไม่กล้านั่ง
สักพักแอร์ไม่สาวก็ขึ้นมาชี้ๆ ทำท่าจะสั่ง บอกว่ามึงช่วยนั่งลงตรงที่ว่างนี้สักที
แหม่ ดวงเรานี้ช่างสมพงศ์...
ตอนนี้เกร็งมากบอกตามตรง
คือนอกจากมีสาวญี่ปุ่นนั่งสวยอยู่ข้างๆ ทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่มองแล้ว
เครื่องบินที่นั่งมาก็ทำท่าเหมือนจะทำงานเกินพิกัด ใบพัดเหมือนจะหลุด มีเสียง “กรักๆ” และการวูบของตัวเครื่องคอยบรรเลงให้กูรู้สึกครื้นเครงอยู่ตลอด
จนคิดไปเองอยู่หลายรอบ ว่ากูอาจจะไม่รอดจากเหล็กนภาลอยฟ้าเครื่องพญามารสายการบินนี้...
ไม่มีเครื่องหมายปลอดภัยแสดงให้ปลดเข็มขัดนิรภัย ไม่มีใครออกมาเสิร์ฟอะไรในเที่ยวบินนี้ ไม่มีสัญญาณไหน ที่บอกว่ากูจะรอดไปจากเที่ยวบินนี้อย่างอุ่นใจเลยสักอย่าง
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นตอนนี้ ก็คงมีอย่างเดียว
ตาย
ทว่ามองไปทางขวา ด้านนางฟ้ากลับดูจะไม่ประหลาดใจกับการเหินเวหาตีลังกาครั้งนี้
เช่นเดียวกับไอ้สองเกาหลีที่นั่งแคะขี้มูกอย่างปรีดี ราวกับเที่ยวบินนี้ ธรรมดา ธรรมดา
และด้วยความรู้สึกธรรมดานั้น
คงทำให้มันว่างจัด
หนึ่งในสองเกาหลีสะกิดผม พลันชี้มือไปที่นางฟ้าญี่ปุ่น
ยกมือขึ้นแล้วทำท่าขยำ เหมือนจะให้ผมทำอะไรสักอย่าง
นี่อย่าบอกนะ...
นี่อย่าบอกนะว่ามึงคิดจะอธิบายแค่นี้แล้วให้กูเข้าใจเลย
เพราะถ้าให้กูเข้าใจเลย ตอนนี้กูเข้าใจว่า...
มึงจะให้กูเอามือ ไปย่ำนมเค้า
...
ผมนิ่ง...
มันจึงอธิบายใหม่ ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นเลย
แต่ก็พอจับใจความได้ว่า
มันอยากปรับระดับหน้าต่างฝั่งที่เธอนั่ง แต่จะให้ผมช่วยเจรจากับเธอ ว่าสองคนข้างหลัง อยากจะขอเปิดหน้าต่าง...
กูเนี่ยนะ?..
นี่มึงได้เห็นสภาพกูตอนพูดภาษาอังกฤษกับมึงหรือเปล่า
ถ้ามึงไม่เห็น มึงรีบระลึกชาติเลยนะ
จำสภาพกูตอนเดินง่อยมาถามหาเกตกับมึงได้ไหม จำสภาพกูนั่งจิ้มทอกกิ้งดิกพยายามคุยผูกไมตรีกับมึงได้ไหม
แล้วจำตอนที่มึงลุกไปแบบไม่ไยดีกับความพยายามกูได้ไหม
แล้วนี่มึงจะมาอะไรกับกู...
“อ...เออ... วินโด้ๆ โอ้เผ่นๆ กะเหรี่ยง แบคๆ”
พยายามสื่อสารด้วยเสียงในลำคอพร้อมทำมือเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขยับมือขึ้น ผมบรรจงชี้ผ่านตัวเธอไปที่หน้าต่าง
แต่เธอก็คงคิดว่าผม กำลังชี้ไปที่นม...
มึงพอใจหรือยัง!?
มึงพอใจหรือยัง ไอ้สองเกาหลี ทีนี้นางฟ้าคงเห็นกูเป็นไอ้หื่นกาม โรคจิตไปแล้ว!!
กูรู้ว่ามึงไม่ได้สนใจหน้าต่างหรอก กูรู้!!
เพราะอะไรรู้ไหม...
เพราะฝั่งมึงก็มีหน้าต่างไง มึงมีหน้าต่าง!! มึงอยากจีบเค้าก็บอก มึงสนใจหน้าเค้า!
มึงอยากใช้กูเป็นสะพานข้ามไปก็บอกมาเลยดีกว่า!!
เครื่องบินเหมือนลดระดับต่ำลง แต่ความเกร็งของผมไม่ได้ลดต่ำตาม มันกลับเกร็งมากขึ้น เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวให้ไม่ดูหื่นกามยังไง
เครื่องบินก็ไม่รู้เป็นอะไรตกหลุมอากาศโคตรบ่อย เหมือนผมกำลังลอยอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา
กระทั่งในที่สุดผมก็ฝ่าฟันมาจนถึงมอร์ดอร์ ที่ที่ผมต้องเอาแหวนทองมาทิ้ง ผมรีบวิ่งลงมาจากเครื่องบินเพื่อเอาฉี่มาทิ้งก่อน แต่สองเกาหลีดันทักผมก่อนผมจะวิ่งไป
เป็นการทักเพื่อถามคำถามครั้งแรกตลอดการเดินทางที่มาด้วยกันนี้
เป็นการถามคำถามที่ฟังแล้วน่าเจ็บใจ
“Is this your first time in America?”
นี่ครั้งแรกในอเมริกาเหรอ...
มึงมาถามอะไรเอาตอนนี้ นี่ดูสภาพกูไม่ออกจริงๆ เหรอ
ว่ากูเป็นอัศวินน้อยๆ ที่ฟันดาบไม่เป็น...
ผมลากกระเป๋าตรงมาทางออกผู้โดยสาร
สนามบินสโปแกนเป็นสนามบินเล็กๆ ใหญ่ประมาณสนามบินเชียงใหม่ การหาทางไปเลยไม่ยาก
ทันทีผมรีบระลึกชาติถึงหน้าตาของโฮสที่เคยเห็นในรูปถ่าย
เดวิด โฮสพ่อ แอบชูป้ายเขียนชื่อเจมอยู่แทบจะนอกสนามบิน
ที่แอบ เพราะผมแทบจะมองไม่เห็น
เมื่อชื่อถูกเขียนเป็นเส้นจางๆ บนกระดาษฝาลังด้วยปากกาเมจิกที่หมึกคงใกล้จะหมด
และทันทีตามวัฒนธรรมผมรีบยกมือไหว้สวัสดี...
ทว่าโฮสคนนี้เหมือนไม่เข้าใจ...
เดวิดจับมือผมไป กุมมือแล้วเขย่า...
“... ...”
ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ
เอาแล้วไง...
นี่กูต้องมาอยู่กับใครวะเนี่ย..
ประเทศไทย ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนชื้น มีประชากรอาศัยทั้งหมด ราวๆ หกสิบล้านคน
มีศาสนา มีวัฒนธรรม มีภาษาเป็นของตัวเอง
เป็นดินแดนถิ่นกาขาว ที่มีผู้คนหลายประเภทอยู่รวมปนกันมั่วไปหมด และน่าจะเป็นที่รู้จักในหมู่นานาประเทศ เพราะกูเห็นคนต่างประเทศเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
แต่จากสภาพ
ผมไม่คิดว่าโฮสทั้งสองจะรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับประเทศนี้...
คริส โฮสแม่ทักทายผมในทำนองเดียวกับเดวิด
คือเขย่ามือที่ผมประกบกำลังจะไหว้ พร้อมพูดอะไรไม่รู้ยาวๆ โดยที่ไม่ได้สนใจว่าผมจะเข้าใจหรือเปล่า
อยากจะบอกว่าช่วยสังเกตหน้ากูด้วย หน้ากูห่อจนเป็นขนมถ้วยแล้ว ทว่าคริสก็ยังพูดต่อไป เดวิดก็พลางหยิบบางอย่างออกมา
แล้วบอกให้ผมกับคริส ยืนชิดๆ กัน
มันคือกล้องถ่ายรูปพลาสติกสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีดำ ดูเก่าๆ ที่ยังใช้ฟิล์มถ่าย
จากสภาพ ผมไม่คิดว่าเดวิดจะเป็นช่างถ่ายภาพ
และจากที่ทราบมา โลกทั้งโลกเปลี่ยนมาใช้กล้องดิจิตอล
ได้ชาติหนึ่งแล้ว!!
แต่ที่เดวิดถืออยู่นั่นมันอะไร?
เซอร์ไพรส์เหรอ?
เราออกจากสนามบินเดินไปที่รถ ผมตื่นตากับทุกสิ่งที่อยู่ด้านนอก ตั้งแต่สภาพเศษดินยันภูเขาเลากาที่ดูกว้างสะอาดไกลสุดลูกหูลูกตา
ผมกรี๊ดกร๊าดราวกับเด็กน้อยนอกบ้านไม่เคยเห็นดารา
นี่รถมึงเหรอ อืม...
นั่นถนนเหรอสวยจัง ภูเขาใหญ่จัง นั่นอะไรอ่ะ ตู้จดหมายเหรอ น่าสนุกจัง ไปเล่นได้ไหม...
ถนนก็เรียบ อากาศก็โปร่งเย็นสบาย ไร้ควัน ไร้เมฆ ทำให้แสงอาทิตย์แย่งกันส่องทแยงตา แต่อุณหภูมิก็ยังแค่ 71 ฟาเรนไฮน์ 22 องศาในเซลเซียส
ลมพัดเย็นสบาย ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด
“นี่หน้าร้อนนะ รู้จักสกีน้ำไหม เขาจะเล่นกันช่วงนี้..” เดวิดพูดขึ้น
นี่ร้อนคุณแล้วใช่ไหม นี่พวกคุณรู้บ้างไหมว่าถ้าอากาศขนาดนี้ เด็กเมืองหลวงบ้านผมคงพากันแห่ใส่เสื้อขนสัตว์มาเดินโชว์รอบกรุงแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสกีน้ำ
น้ำยังไม่อยากจะอาบกันเลย
ผมขึ้นมาบนรถ ตื่นตากับทุกสิ่งทุกอย่างต่อไป
แปลกจัง พวงมาลัยซ้าย เกียร์อยู่ข้างขวาใกล้พวงมาลัย มีปุ่มอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลย อูย มีปุ่มกดกระจกด้วย สนุกจังเลย...
ผมกดกระจกเล่นขึ้นลง พลางก็งงว่าทำไมรถมึงถึงไม่ไปสักที
ทันทีเดวิดหันกลับมา ทำท่าไม่ค่อยเข้าใจ
“ถ้าเธอไม่คาดเข็มขัด เราก็ออกรถไม่ได้...”
หะ ?
นั่งข้างหลังนี่ต้องคาดด้วยเหรอ
อะไรจะขนาดนั้นวะ
วอชิงตันเป็นรัฐอยู่มุมซ้ายบนสุดของอเมริกาติดกับแคนนาดา ฝั่งตะวันตกติดกับแปซิฟิกทำให้ภูมิประเทศชุ่มชื้น ฝั่งตะวันออกติดกับไอดาโฮภูมิประเทศก็ยังเป็นเนินเขาชื้นพอประมาณ แต่ตรงกลางถูกล้อมด้วยเทือกเขา ภูมิประเทศจึงแห้งแล้งจนคล้ายกับทะเลทราย
บ้านโฮสผมอยู่ตรงกลาง...
กูกำลังจะได้ไปอยู่กลางทะเลทราย...
ภูมิประเทศด้านนอกตามถนน ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวและเนินเขา เป็นที่ราบสีน้ำตาลกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา ถนนที่ขับมาก็ไม่มีทีท่าว่าจะติดเลย
ความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็นมันเริ่มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอุ่นใจตามระยะทางที่วิ่งไป ถึงแม้จะไม่เข้าใจอะไรที่เขาพูดตอนนี้เลยสักอย่าง
แต่รอดมาถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกภูมิใจตัวเองมากๆ แล้ว
ความล้าทำให้ผมปล่อยตัวลอย ค่อยๆ คิดย้อนกลับไปถึงบ้าน ทบทวนถึงด่านต่างๆ ที่ผ่าน กว่าจะได้มาถึงตรงนี้
ผมมาที่นี่ได้ยังไง ผมมาทำไม
แล้วตามันก็หลับลง สติก็พลันย้อนกลับไปถึงวันหนึ่ง...
เมื่อหนึ่งปีก่อน...
วันที่ผมยังไม่เคยคิด ว่าจะได้มาถึงตรงนี้เลย...
จินตนาการภาพเด็กหัวเกรียนที่ไม่ชอบการเรียน ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบการออกจากบ้าน
ภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเขียนหรืออ่านก็ได้เกรดไม่เคยเกินสอง มีของชอบเป็นเกมออนไลน์เป็นเพื่อนเล่นในชีวิตประจำวัน
ฉะนั้นเรื่องการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจึงไม่เคยอยู่ในหัว ถึงจะผ่านเข้ามาบ้างในหัว แต่ก็กลัว ไม่เคยคิดว่ากูจะสอบติดกับเค้า
ผมเป็นคนที่ไม่กล้าทำอะไรเลย ถ้าไม่มีเพื่อนไปด้วยก็จะยิ่งไม่ทำ
จนกระทั่งวันหนึ่ง...
ในกลางเทอมของชั้นเรียนมอห้า ณ โรงเรียนมัธยมภาคเหนือแห่งหนึ่ง มีเด็กท่าทางประหลาดคนหนึ่งย้ายเข้ามาเรียนในห้อง
มันชื่อไอ้วุฒิ
วุฒิเป็นนักเรียนที่ดูเด่น เคยเรียนอยู่ห้องสามสายวิทย์ แต่เกิดติส อยากย้ายมาเรียนศิลป์คณิตห้องรองบ๊วย
พอถามว่ามึงย้ายมาทำไมวะ ห้องสามก็ดูดีอยู่แล้ว
มันก็ตอบอะไรไม่รู้ยาวๆ แต่เป็นเหตุผลที่ฟังดูดีเกินกว่ามนุษย์มัธยมปลายปกติจะตอบกัน
มันยังเป็นทั้งตัวแทนโรงเรียนไปประกวดพูดสุนทรพจน์ ได้รางวัลประเทศ เป็นนักดนตรีเล่นกีตาร์ร้องเพลงที่ขึ้นเวทีแบบไม่เคยอายใคร มันยังเป็นเชฟมือหนึ่งที่ทำอาหารอะไรไม่รู้แต่อร่อยชิบหาย และอะไรไม่รู้อีกมากมาย เยอะมาก
สาวๆทุกคนจะเรียกมันว่า “พี่วุฒิ”
คงเป็นเพราะความเก่งเหนือมนุษย์ และความแก่กว่าของมัน
พูดตรงๆ คืออิจฉา และศรัทธาในความบ้าบิ่น ผมจึงขอตามติดราวกับฝากตัวเป็นศิษย์ ศึกษาทุกสิ่งว่าอะไรที่เป็นส่วนที่ทำให้มันเป็นบ้าแบบนี้บ้าง และคำตอบก็ค่อยๆ ออกมาจากเรื่องเล่าของมัน
แล้วเรื่องที่อเมริกาของมันก็ค่อยๆ ปลุกอารมณ์
“มึงรู้มั้ย อเมริกาจริงๆ มันยิ่งกว่าในหนังอีก”
“บ้านที่กูไปอยู่มีเฟอรารี่สี่คัน”
“บ้านมีสี่ชั้นใหญ่อย่างกะคฤหาสน์”
“ทีวีจอแบนหกสิบแปดนิ้วติดเต็มฝาบ้าน เครื่องเกมคอนโซล์ครบ!!”
“มึงรู้มั้ยพวกบ้านที่รับนักเรียนแลกเปลี่ยนไปเลี้ยงเนี่ย...”
โอเคพอ! เดี๋ยวปีนี้เดี๋ยวกูด้านหน้าไปสอบเลยแล้วกัน...
ผมอ่านหนังสืออยู่สามเดือน เพราะสำเหนียกตัวเองว่าไม่ควรไปสอบแบบหน้าด้านๆ นั่งอ่านภาษาอังกฤษที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะอ่าน โดยมีกำลังใจจากภาพสาธยายอเมริกาของไอ้พี่วุฒิ
และปีนี้ ที่เป็นโอกาสสุดท้าย
คิดไปจริงจังแล้วว่าทุกอย่างในอเมริกามันจะอลังการเต็มไปด้วยตึก ภูมิประเทศสวยงาม ทันสมัย มีแต่บ้านหลังใหญ่อย่างกับคฤหาสน์ ของในบ้านต้องหรู พื้นปูด้วยพรม ดูสะดวกสบายไปทุกอย่าง
กูคิดไปแล้ว คิดไปจริงจัง คิดจนคาดหวังไปแล้วทุกอย่าง
แต่พอกูมาถึงบ้านนี่...
รถขับฝ่าตะลุยความกระด้างของภูมิประเทศ สองชั่วโมงเศษๆ จากสโปแกนเราก็มาถึงอีเฟรต้า
ภาพแรกของบ้านที่เห็น มันเป็นบ้านที่ก่อสร้างด้วยอิฐ เล็กชนิดที่ทิ้งคำว่าคฤหาสน์ไปไกล ไม่มีรถคันไหนที่ดูใกล้คำว่าเฟอรารี่ มีโรงจอดที่พอดีสำหรับรถแค่สองคัน
แต่ก็ยังพอดูหรู เมื่อประตูยังเปิดด้วยรีโมทคอนโทรล
ข้างนอกไม่เท่าไหร่ แต่ข้างในนี่สิ... โอ้โห
ที่ร้องว่าโอ้โห ไม่ใช่เพราะใหญ่นะ
คือนอกจากไอ้วุฒิที่สาธยายความอลังการของอเมริกาที่มันไปอยู่แล้ว ผมยังมีน้าคนหนึ่งที่เคยอยู่มานาน คอยบอกความจริงตลอดว่ามันไม่ได้เลิศหรูขนาดที่ฟังมาหรอก แต่ทั่วๆ ไปของในบ้านอเมริกันจะมีทุกอย่างครบ ทีวีอย่างน้อยๆ ก็จอแบนรุ่นใหม่กันหมด ของกินเต็มตู้ คอมพิวเตอร์แมคโปร
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยังโอ ก็ยังพอรับได้
แต่ที่นี่ไม่ใช่...
ผมยืนตะลึงกับภาพที่เห็น หลังเปิดประตูเสียงดังแอ๊ดแล้วเดินเข้าบ้าน ที่เขาบอกว่ารองเท้าไม่ต้องถอด ผมยืนอยู่บนรองเท้าไนกี้แต่ตอนนี้รู้สึกว่าอยากจะถอด แล้วจับมันขึ้นมา...
เฟี้ยงลงพื้น!!
กูหลงมาอยู่ยุคไหนวะเนี่ย!!
ไหนทีวีจอแบนหกสิบแปดนิ้ว ที่กูเห็นแม่งจอนูนยี่สิบห้านิ้วยังไม่ถึง สีดำเฝื่อนๆ เก่าขนาดยังมีปุ่มนูนๆ ให้กระแทกเลือกช่อง
ยังไม่พอ ไมโครเวฟเครื่องเก่ามึงยังหุ้มด้วยไม้ สงสัยมึงเก็บไว้ตั้งแต่สมัยสงครามโลก
แล้วหนักสุดอะไรรู้ไหม...
คอมพิวเตอร์!!
กูเป็นเด็กเนิร์ดติดเกมไง โน้ตบุ๊คกูก็ไม่มีไง แล้วนี่กูมาเจออะไร เดินเข้าห้องจะไปใช้คอมปุ๊บแม่งเจอจอนูนเครื่องขาวขุ่นๆ แบบที่ยังนอนให้จอตั้ง ยังปฏิบัติการด้วยระบบวินโดว์...
ไม่ใช่เก้าแปด นั่นดีไป...
เก้าสิบห้า!!!
พ่อ - ตาย!! วินโดว์เก้าสิบห้า แรมแม่งยังไม่ถึงหกสิบห้า มึงรู้ไหมคอมบ้านป้ากูใช้เอ็กซ์พีแรมเป็นจิ๊ก มาชาติหนึ่งแล้ว!!
อะไรวะเนี่ย!!
แต่ก็ยังต้องใช้ เขียนรายงานผลการเดินทางส่งบิดามารดา ไม่งั้นเค้าคงคิดว่ากูโดนจับไปขายเอธิโอเปีย แต่อะไรอีกรู้ไหม...
ไม่ใช่แค่พิมพ์ไทยไม่ได้...
นี่อ่านไทยไม่ได้...
สัด!!
ตัวหนังสือแม่งเป็นสี่เหลี่ยม...
พอจะเข้าอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตเอ็กเพลอเร่อแม่งก็เสือกเป็นรุ่นเอ๋อจากยุคไหนไม่รู้ ดูรูปแม่งยังกระตุก
จีเมลแทบจะเปิดไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดไกลถึงเฟสบุ๊ค
ไม่มี!!
ไม่ใช่เครื่องนี้ไม่มี
แต่ยุคนี้ ยังไม่มี…
เรายังคุยกันผ่านเอ็มเอสเอ็น
แต่เครื่องนี้...
ก็ยังไม่มีเอ็มเอสเอ็น…
จะให้กูโหลดเอ็มเอสเอ็น…
กูก็ไม่โหลดแล้วมั้ย!! กูจะไปนอนแล้ว!! กูบินไกลข้ามโลกแล้วมาเจอแบบนี้!! โคตรเพลีย!!
นอน!! นอน!!!!!!
แต่พอเก็บของเสร็จกำลังจะไปนอน คริสกับเดวิดก็บอกว่าอย่าเพิ่งนอน ให้มากินข้าวเย็นกันก่อน...
...
อ่ะ.. กินก็กิน...
รีบคว้าช้อน แบบไม่สนใจว่าอาหารข้างหน้าคืออะไร
แต่ยังไม่ทันไร คริสกับเดวิดก็คว้ามือผมไป แล้วจับไว้ บอกว่าก่อนกินเราต้องสวดขอบคุณพระเจ้ากันก่อน...
“Thank you for me and David to drive back home safely, and we… ^%$#^&^*James
(&$#@%**&^(*^*(* new member today. I ask you if you could help hi…&$#@%**&..... #@%*. #@%*....%.
...
A - men…”
นี่ กู มา อยู่ ที่ ไหน ?...
นี่เป็นที่ที่กูต้องมาอยู่ ต่อจากนี้อีกหนึ่งปีเหรอ?
ชะตากรรมมึงนี่ เล่นตลกอะไรกับกูอีกเหรอ?
ตื่นเช้าขึ้นมา ผมก็ถือวิสาสะเดินสำรวจไปทั่ว และพบว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นบ้านธรรมดา
มันเป็นบ้านที่มีสองชั้น ชั้นแรกและชั้นใต้ดิน
จากประตูบ้านเปิดมาเจอห้องรับแขก ที่สภาพเงียบดูไม่น่าจะเคยมีแขก พื้นเป็นพรมปูอย่างกับหญ้าแพรก ลากไปถึงกลางห้องนั่งเล่น มีครัวคิทเช่นและไมโครเวฟวู้ดเด้นตั้งเด่นอยู่ตรงข้าม
ลึกไปทางขวาของบ้านเป็นห้องนอนของคริสกับเดวิด ถัดไปอีกนิดก็เป็นห้องคอมพิวเตอร์รุ่นคุณปู่เก้าสิบห้า ที่ประตูถัดมาเหมือนจะมีห้องอยู่ห้องหนึ่งที่ถูกล็อกปิดไว้
เมื่อเปิดไม่ได้ผมก็เริ่มตงิดใจ คิดว่าบ้านหลังนี้เหมือนจะมีอะไร
แต่แล้วเมื่อลงมาชั้นใต้ดินเท่านั้นล่ะ
ชัดเลย
ที่ชั้นใต้ดิน มีของเล่นเด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าหกขวบวางเรียงรายอยู่เต็มชั้น
ทั้งๆ ที่นี่ ไม่มีเด็กเลยสักคน
โฮสก็ไม่ได้มีอาชีพขายของเล่น หรือรับเลี้ยงเด็กอนุบาล สภาพท่าทางก็ไม่น่าจะชอบเด็ก
ส่วนลูก เท่าที่รู้มาคือโฮสมีลูกชาย แต่ก็ไม่ได้เล็ก โตจนย้ายออกไปจากบ้านนานมากแล้ว
แล้วของเล่นทั้งหมดนี่เป็นของใคร
อย่าบอกนะ
ของเล่นเด็กหญิงพวกนี้...
มึงซื้อมาให้กูเล่น!?
...
คือถ้าไม่ได้ซื้อมาให้กูเล่น แล้วมึงจะตั้งไว้ให้ตุ๊กแกกับจิ้งจกเล่นหรือยังไง คอนทราสเกินไปไหม บ้านเก่า คนแก่ กับของเล่นเด็กเนี่ย
ทว่าตอนที่มารู้ทีหลังจากปากโฮสเท่านั้นล่ะ ก็เป็นอันต้องสะพรึง นั่งพื้นไม่ติดยิ่งกว่าเดิม
“กาลครั้งหนึ่ง บ้านหลังนี้เคยมีสมาชิกทั้งหมดห้าชีวิต...
อีกสามชีวิตคือลูกสาว ลูกชายและหมาหนึ่งตัวชื่อเดซี่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มผ่านมา
ยี่สิบปีก่อน ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวมัวร์ (‘Moore’ นามสกุลโฮส) จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
เหตุผลเพราะเธอไม่ได้แข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป ถึงแม้ทั้งคู่จะดูแลเธอมาอย่างดี แต่ด้วยความไม่เท่าเทียมที่ถูกสร้างมานี้ สุดท้ายเธอก็ต้องทิ้งไว้แต่เพียงความทรงจำและห้องที่เป็นระเบียบอย่างที่เคยเป็น...“
เฮ้ย… งั้นของเล่นพวกนั้น!!...
“สิบสามปีต่อมา สตีเฟ่นลูกชายคนเล็กก็จำต้องออกไปใช้ชีวิตตามธรรมเนียมของชาวอเมริกันในระดับมหาลัย
สตีฟเฟ่นไปเรียนต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในรัฐแคนซัส มีโอกาสกลับบ้านเพียงไม่กี่ครั้งในรอบหนึ่งปี
ทิ้งให้คริสและเดวิดอยู่ลำพังกับหมาอีกหนึ่งตัวชื่อเดซี่
แต่จากนั้นอีกห้าปี หมาตัวผู้ชื่อเดซี่วิ่งไปกลางถนนแล้วถูกรถชนตาย
...
เหตุการณ์ต่างๆ สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับครอบครัวมัวร์เป็นอย่างมาก ความเหงาและความอ้างว้างทำให้พวกเขารับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนชื่อเจม มาเลี้ยงดูในอีกสองปีต่อมา...”
ซึ่งนั่นคือกู...
นี่กูเป็นถึงตัวแทนของเดซี่
แล้วเขาก็ยังใจดีให้กูไปนอนแทนที่ที่ชั้นใต้ดิน
ส่วนไอ้ของเล่นที่อยู่ตรงหน้านี่
มึงก็ให้กูมาแทะเล่นด้วยใช่ไหม...
หา!?
กว่าจะเข้าใจที่มึงอธิบาย กูก็เกือบชิบหายคิดว่าบ้านนี้เป็นบ้านผีสิง แล้วก็ดีใจจริงๆ ที่ของเล่นพวกนี้มึงไม่ได้ซื้อมาให้กูเล่น
แต่กลับเป็นของที่ลูกสาวคนโตเคยเล่น เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
...
หะ!...
วันนี้วันอาทิตย์ เป็นวันที่ต้องไปโบสถ์
เป็นการไปโบสถ์ครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกไม่ธรรมดา เพราะตามที่เข้าใจ คือเราต้องเดินทางไปถึงอีกเมืองซึ่งห่างออกไปทางตะวันตก ไกลจากที่นี่ประมาณสามสิบนาที ไปถึงเมืองที่มีชื่อว่าควินซี่
แต่ที่ไม่เข้าใจ
คือทำไมมึงต้องไปไกลอะไรขนาดนี้...
จากภาพถ่ายดาวเทียม อีเฟรต้าดูเป็นเมืองกันดารกลางรัฐ มีภูเขาแห้งๆ เตี้ยๆ สลับกับพื้นที่แห้งสีน้ำตาลเป็นภูมิประเทศเป็นเมืองเล็กๆ
ประชากรบอกในกูเกิ้ลประมาณเจ็ดพันคน
และเป็นเมืองขนาดเจ็ดพันคนที่ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีห้าง ไม่มีแม่น้ำ ไม่มีอะไรบันเทิงใจหรืออะไรที่คล้ายกับที่กูคิดมาจากประเทศไทยเลยสักอย่าง
แต่ไอ้ที่มีอย่างเดียวและเยอะด้วย คือโบสถ์
จากที่นั่งรถผ่านมาตลอดทาง โบสถ์ที่นี่มีไม่ต่ำกว่าสิบ
เส้นเนินเขาขึ้นบ้านก็ไปแล้วสอง เส้นข้างคลองออกถนนใหญ่ก็ไปอีกสี่ นี่ยังไม่รวมที่เห็นไม้กางเขนชูยอดอีกหลายที่รอบเมือง
แล้วหนักที่สุด มีโบสถ์ยักษ์ตระหง่านอยู่ตรงข้ามบ้าน เดินออกมาเสาแม่งก็จะทิ่มตาอยู่แล้ว
คำถามก็คือ... แล้วทำไมพวกมึงไม่ไปกัน?
มึงจะถ่อไปไกลเป็นครึ่งชั่วโมงทำไม?
ก็ได้แต่คิดในใจแสดงว่าเมืองที่กำลังจะไปนี่แม่งต้องใหญ่กว่าที่นี่สินะ!...
เล็กยิ่งกว่าอีเฟรต้า ยังมีควินซี่
เมืองแห้งๆ ขนาดคนสี่พันที่กันดารยิ่งกว่า
กูต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมา ตามเขาออกจากบ้านมาในเวลาเจ็ดโมงห้าสิบห้า เพื่อจะไปโบสถ์ในเมืองนี้...
ก่อนที่ผมจะโวยวาย เดวิดก็ชิงอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องมาไกลขนาดนี้ ว่ามีที่มาจากเรื่องราวเมื่อสามสิบปีก่อน ครั้งที่ทั้งคู่ย้ายมาใหม่ๆ ขับรถหานิกายของโบสถ์ที่เข้าร่วม
นอกจากคริสต์สามสี่นิกายหลักที่เคยเรียนมาจากหนังสือ ส.ป.ช. ล่าสุด ผมก็เพิ่งรู้ว่าโบสถ์โปรเตสแตนท์ในประเทศนี้ซอยย่อยไปอีกเป็นหลายสิบนิกาย ตามความเชื่อและไบเบิลที่ใช้
ไอ้โบสถ์ใหญ่ๆ ที่ตระหง่านตรงข้ามบ้าน คริสบอกว่าพวกนั้นนับถือดวงดาว เชื่อกันว่าเมื่อตายไปเราจะกลายไปเป็นพระเจ้าในดาวดวงอื่น
โฮสจึงจำต้องออกจากละแวก ตระเวนหาโบสถ์นิกายนี้ที่อื่น เมื่อไม่เจอในเมืองนี้ก็ขับไปถึงหลายเมืองอื่น ไกลถึงนอกเขต
สุดท้ายเลยไปถึงเขตเมืองเวนแนชชี่ ซึ่งห่างไปจากที่นี่อีกสามชั่วโมง...
ใจคอพวกมึงนี่จะตื่นตีสี่ไปโบสถ์นี้หรือยังไง...
แต่ยังดีที่พวกเขารู้ตัวบอกว่าไกลเกินไป จึงขับกลับมาแวะซื้อของใช้ที่เมืองข้างๆ แล้วโบสถ์นี้ก็เด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า
แสดงว่าโบสถ์ที่เห็นเด่นตั้งแต่ร้านค้า ต้องใหญ่มากๆ สินะ!!
...
ผ่านพื้นที่โล่งกว้างและความกร้านของภูมิประเทศตลอดสองข้างทาง จินตนาการถึงโบสถ์ที่ใหญ่ตระหง่านคับย่านร้านค้า
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถเข้าตัวควินซี่ เราก็ขับมาถึงโบสถ์...
เห็นสภาพ...
แม่งเป็นโบสถ์หลังเล็กๆ สร้างด้วยไม้ ขนาดเล็กกว่าโบสถ์แห่งดวงดาวตรงข้ามบ้านประมาณสี่เท่า สีเทาๆ เหมือนทาสีปิดความเก่าแล้วกูก็หาทางเข้าไม่เจอ
เมื่อโบสถ์ที่มาเจอ แม่งคล้ายกับโรงเหล้ามากกว่า
เรามาถึงโบสถ์นี้อย่างตรงเวลา โดยที่ไม่เลทเลยสักนาที
ทันทีที่เข้าโบสถ์ โฮสก็พาผมแนะนำคนนู้นคนนี้ ให้ไปรู้จักทำการทักทาย
ผมยืนนิ่งเหมือนคนขี้อายกำลังคิดแทบตายว่าจะเข้าไปเช็คแฮนด์หรือเข้าไปไหว้สวัสดี เมื่อรู้สึกว่าคนในประเทศนี้แม่งไม่ได้สนใจวัฒนธรรมกูเลย
เอาวะ กูลองไหว้อีกที
…
แล้วแม่งก็เอามือกูไปเขย่าอีกคนละสองที...
“!*&$!@*#&@”...
พร้อมกับพูดประโยคอะไรไม่รู้มามากมาย ต้อนรับผมด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง ถามไถ่เรื่องราวราวกับกูเป็นญาติสนิทที่เกิดใกล้ชิดติดลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิบปี้
แต่ขอโทษที นี่กูเกิดลุ่มแม่น้ำปิง
%$#*@..... !?
ถ้ากูตอบว่า “เยส”
แปลว่ากู ไม่เข้าใจ
คริส นี่มึงไม่ได้บอกคนพวกนี้ใช่ไหมว่ากูฟังรู้เรื่องแค่ Yes No กับ OK แล้วก็ Hello อีกหนึ่งคำ
ฟังไม่ออก ได้โปรดช่วยแปลเป็นภาษาที่ช้าลงหน่อย
แต่พอหันไป คริสกลับหาย ทิ้งให้ผมดิ้นเป็นกระต่ายยืนเดียวดายอยู่เพียงลำพัง
เหอเหอ... เหอ... เออ... ไอ.. ด่อน ...อ..
“And, How is your family @$#^^$&%*#**()($%#.... doing?”
“Do you have any siblings?”
“Have you ever been… @#%%#*@$&(….#(……?
…
นี่พวกมึงจะถามห่าเหวอะไรกันมากมาย
พวกมึงช่วยแหกตาดูหน้ากูแล้วก็ถามกูมาช้าๆ ทีละคน มึงอย่ามารุมกูพร้อมกันทีละสามคนอย่างนี้
มึงคิดว่านี่เป็นรายการเกมตอบคำถาม แล้วพวกมึงเป็นพิธีกรรายการคนค้นคนก้นครัวหรือยังไง...
โว๊ย!!
“มาถึงที่นี่เมื่อไหร่คะ!?”
...
แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยแทรกเข้ามา
นี่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม...
นี่ มัน ภาษาไทย!!
!!!
“เป็นยังไงบ้าง อเมริกาครั้งแรก?”
ผู้หญิงเอเชียวัยกลางคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับคริส ทักทายผมเป็นภาษาไทย เหมือนรู้มาก่อนว่าวันนี้ผมจะมาที่โบสถ์
คริสก็พลันแนะนำให้รู้จักว่านี่ สิยาดานะ ผมอึ้งตกใจรีบยกมือไหว้สวัสดีแบบไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเอามือกูไปเขย่า
“ที่เค้าถามนี่ฟังรู้เรื่องบ้างไหม”
“เอออ... ”
ผมบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกดีขนาดไหน เพราะสภาพตลอดสามสี่วันที่จากประเทศไทย ผมก็เหมือนเป็นคนใบ้เพราะสื่อสารอะไรที่อยู่ข้างในไม่ได้เลย
พูดกันตามตรง มันเป็นอะไรที่โคตรจะอึดอัด
น้าสิยาดาเป็นคนไทยคนเดียวในละแวกทะเลทรายซาฮาร่านี้ พื้นเพเดิมเป็นคนเชียงราย บ่งบอกได้จากสำเนียง
ผันชีวิตตนเองจากอาจารย์สอนพละ มาบริหารสวนแอปเปิลของสามีฝรั่ง ที่เจอกันด้วยความบังเอิญครั้งที่เขาไปให้ทุนการศึกษากับเด็กนักเรียน
และบังเอิญที่น้าสิยาดานับถือคริสต์ตั้งแต่แรก จึงทำให้หลายอย่างเข้ากันได้ง่าย ในที่สุดน้าก็เลือกย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อห้าปีก่อน
เธอบังเอิญเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับคริส และบังเอิญมาโบสถ์นี้เป็นประจำ และบังเอิญมาทำให้ผมรู้สึกดีกับโบสถ์ขนาดนี้
แต่ดีได้ไม่นานนัก ก็เหมือนกิจวัตรประจำวันกำลังจะเริ่ม เมื่อทุกคนเริ่มเดินเข้าไปในประตู
น้าสิยาดาขอแยกตัว ก่อนบอกว่าวันนี้จะมีเซอร์ไพรส์
ยังไม่ทันนึกว่าเซอร์ไพรส์อะไร ด้านหน้าก็กลายเป็นภาพของผู้คนหลายสิบ กรูกันเข้าไปหาที่นั่ง กูก็ตามเขาเข้าไปนั่งแบบไม่รู้เรื่อง
พอไม่รู้เรื่องก็ทำตามเค้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงทุกคนก็ลุกขึ้น ทันทีกูก็งงสับสนเลยลุกขึ้นตาม เห็นทุกคนร้องเพลงตามกันอย่างสนุกสนาน กูก็เลยพยายามจะสนุกสนานตามด้วย
แต่จริงๆ กูไม่ได้สนุก...
พอเพลงมาถึงท่อนฮุก แล้วทุกคนก็ยกมือชูขึ้นสุดแขน หน้าตาเคลิ้มเหมือนกำลังอินกับอะไรสักอย่าง
เท่านั้นล่ะ!! กูหยุดพยายามสนุกสนานทันใด อยากรู้ก่อนว่านี่อะไร
หันไปถามคริส ว่านี่กูควรทำอย่างไร คริสก็เหมือนไม่อยากตอบอะไร เมื่ออารมณ์กำลังไปกับสองมือที่ชูสุด ร้องเพลงสุดเสียงเหมือนกำลังแตะโน้ตตัวบนสุดของบทเพลง...
แม่เจ้า!! กูนึกว่าโฮสกูกินนกหวีดเข้าไป
จะอินอะไรขนาดนั้น
งั้นเอาก็เอาวะ
แล้วสภาพในเพลงนั้น ผมก็ยืนชูรักแร้จนจบเพลง
แต่เพลงจบ คนก็ยังไม่จบ
เมื่ออโพสเติลเดินออกมาสาธยายแล้วคนทั้งหลายก็พร้อมกันปรบมือ นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่ออีกหนึ่งชั่วโมง
อีกหนึ่งชั่วโมง...
สิบห้านาทีกับการชูมือสุดแขนโชว์จักแร้ แล้วแถเพลงตามทำนอง กับอีกหนึ่งชั่วโมงที่นั่งมองตาขยิบ ฟังอย่างสงบจิต ผงกหัวตามติดทุกประโยค แม่งเป็นภาษาอังกฤษ ฟังจนสมงสมองกูไปหมดละ
นี่หรือคือเซอร์ไพรส์ที่น้าสิยาดาบอก
และบอกกูที ว่าวันอาทิตย์นี้มันคืออะไร
“เป็นยังไง มามอร์มันครั้งแรก?”
น้าสิยาดาเดินเข้ามาทัก
แล้วไอ้มอร์มันนี่มันคืออะไร?
น้าก็พลันอธิบายว่ามันเป็นโบสถ์นิกายที่รู้จักกันดีในเรื่องความเคร่งครัดที่สุดนิกายหนึ่ง
อืม มิน่าล่ะ...
“สนุกใช่ไหม
แต่อย่าเพิ่งกลับนะ เดี๋ยววันนี้เราจะมีพ็อตลักค์”
หะ..?
พ็อตลักค์ (Potluck) คือกิจกรรมปาร์ตี้ที่แต่ละคนจะทำอาหารจากบ้านมาแชร์กัน ในหนึ่งปีที่โบสถ์นี้จะจัดกันแค่สองครั้ง
คือครั้งนี้ในหน้าร้อน และอีกครั้งในหน้าหนาว
กูก็อุตส่าห์นึกไปแล้วว่ามึงจัดงานเลี้ยงเซอร์ไพรส์ต้อนรับกู
“แต่ในหน้าร้อนนี่ เราจัดกิจกรรมกลางแดดเลยนะ!!”
คริสพูดแทรกเหมือนคาดหวังว่าผมจะดีใจ
แต่กูก็ไม่ดีใจ เพราะประเทศไทย แม่งแดดทั้งปี
แต่ที่ดีใจ
เพราะรู้ว่าที่ที่กำลังจะไปจะมีวอลเลย์บอลกลางแจ้ง!!
ทันทีผมก็จินตนาการว่าตัวเองโผล่มาอยู่ในหนังฝรั่ง วาดภาพสาวผมทองน้อยชิ้นในบิกินี่สีชมพู ขยิบตากัดริมฝีปาก แล้วก็เด้ง กระโดดตบลูกบอล
แต่ไม่รู้ทำไม เวลาคาดหวังอะไร มันจะได้ไม่เคยใกล้เลย
แม่งมีแต่ผู้ชาย
ล่ำๆ ถึกๆ จนกูนึกว่าโผล่มาอยู่ในหนังเกย์ มีเด็กผมดำกระโดดตบวอลเลย์อยู่สองสามคน
ชายล้วนและไม่แก้ผ้า
ผมดำพวกนี้ไม่ใช่เอเชีย แม้หน้าตาจะคล้ายลูกครึ่งอินโดนิเซีย มากก็ตาม
พวกนี้คือเม็กซิกัน หรือที่คนที่นี่เรียกว่า “ฮิสแปนิค”
“ฮิสแปนิค”
ประชากรอเมริกาเชื้อสายเม็กซิกัน ซึ่งมีจำนวนมากเป็นอันดับสองรองจากคนขาว ตามข่าวและหนังฮอลลีวูด มักจะพูดเหมาว่าคนพวกนี้เป็นแกงส์เตอร์ เว่าสเปนชอบพกมีด มีรอยกรีดและสักเต็มตัว
แม้ตอนนี้มันจะแค่ถือลูกบอลอยู่ กูก็รู้สึกกลัว
แต่ด้วยความที่ตอนนี้ไม่มีเพื่อน จำต้องข่มความขื่นแล้วฝืนเดินเข้าไป อธิบายไปอย่างโพไลท์ว่ากูขอเล่นด้วยได้ไหม ได้โปรดอย่าเอาอะไรมาแทงกู
มันก็ดูงงๆ คงเพราะพูดจาไม่เข้าใจ ผมก็รู้ว่ามันงง จึงบรรจงอธิบายมันไปใหม่ ด้วยอวจนภาษา
วาดมือเป็นวงกลม แล้วกระโดดตบให้มันดู
แต่มันก็คงนึกว่ากูมาสอนท่ากายบริหาร หรือไม่ก็มาตบหัวมัน
แต่มันก็ดูใจดี บอกว่ามาสิมาเล่นกัน แล้วก็ส่งบอลให้เราบ่อยเลย
บ่อยมากเลย ที่ติดหัวกู
ส่วนบรรยากาศรอบๆ ก็ดูคึกคัก เมื่อพ็อตลักค์ถูกจัดอยู่กลางแจ้ง มีเด็กเล็กๆ วิ่งเล่นกันกลางแดด มีสาวๆ ผึ่งแดดนอนกลางสนามหญ้า ตัดกับผืนฟ้าที่ไร้เมฆ
แม้ไม่ได้เป็นปาร์ตี้ต้อนรับ ผมก็รู้สึกอบอุ่นดี
เพราะแดดแม่งส่องขนาดนี้
น้าสิยาดาก็บอกว่าว่างอีกที เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวสวน
ก่อนกลับผมก็ไปเซย์กู้ดบายกับพวกที่เล่นวอลเล่ย์ ถามมันไปว่ามึงก็ไปโรงเรียนที่อีเฟรต้าใช่ไหม
แต่พอมันบอกว่าไม่เท่านั้นล่ะ ใจมันก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที...
เพราะว่าวันพรุ่งนี้
เป็นวันเปิดเทอม...