สัมภาษณ์เรื่อง : หนังสือ James is Back
วันที่ : 4 พ.ย. 2023
สถานที่ : เซ็นทรัล ศรีราชา
ลิงก์ต้นฉบับ : https://www.facebook.com/EasternBookFest/videos/991379341968413/?app=fbl
----------------
สารบัญ
หนังสือ "James is Back"
เจม :
ผมขอบอกว่า หนังสือเรื่อง "James is back" เนี่ย เป็นหนังสือที่ค่อนข้างล่อเท้าพอสมควร (หัวเราะ) เพราะว่าตัวละครในเรื่อง "James is back" เนี่ย จะเป็นตัวละครที่วัฒนธรรมของคุณ บอกให้เกลียดเขา
วัตนธรรมของคุณ ก็คือประเทศไทยนี่แหละ ที่บอกให้คุณอย่าแตกกลุ่มนะ อย่าทำนี่นะ แต่ว่า "James is Back" เนี่ย คือหนังสือที่ตั้งใจจะเล่าย้อนไปถึงเด็กชายคนนึง ที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศในวัย 18 ที่ปากหมาเกรียนและต้องการเปลี่ยนแปลง
ทีนี่เนี่ยเรื่องนี้จะสะท้อนถึงเรื่องเจน Z และ Y
มันมีคนกลุ่มใหญ่ที่ผมส่งให้รีวิว เขาบอกว่าเขาแทบจะอ่านไม่ได้เลย แต่ปรากฏว่าเจน Z เนี่ยไม่ใช่ มันกลายเป็นหนังสือที่เล่าถึงความคิดของพวกเขาเลย
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่เด็กคนนึง ที่กลับจากอเมริกาใหม่ๆ และเป็นวิธีคิดที่เขาคิดอยู่คนเดียว แล้วเจมตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาไทยมาตั้งแต่อายุ 18
เราเรียนแบบนี้ทำไม? ทำไมเราเลือกวิชาไม่ได้? ทำไมเราต้องทำตามระบบการศึกษาที่เราไม่เข้าใจ ?
สิ่งเหล่านี้เจมคิดได้ จากการกลับมาจากอเมริกา
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
โอเค เพราะว่าเจนก่อนหน้านั้นเนี่ยมันเป็นเจน X Y เราพูดกันถึงแค่นี้พอ
แล้วถามก่อนว่าหนังสือเล่มนี้เนี่ย ตอนส่งให้รีวิวเนี่ย ส่งให้ใครรีวิว?
เจม :
ส่งให้เจน Y รีวิว (หัวเราะ)
ปรากฏว่า นี่เป็นหนังสือที่โดนด่า เละเลย (หัวเราะ)
ซึ่งเราคิดอยู่แล้วนะ เพราะเราเขียนตอนนี้ เรายังรับตัวเองตอนนั้นไม่ได้เลย
แต่จริงๆ ต้องบอกว่า หนังสือ "James is Back" เนี่ย เป็นหนังสือลำดับที่ 16 ของสำนักพิมพ์แล้วนะ เป็นเรื่องที่เขียนต่อจากหนังสือ "1 ปีกับชีวิตที่ผมอยู่อเมริกา" ซึ่งคือเรื่องแรก - แต่เราเพิ่งมาเขียนต่อตอนอายุ 35
ซึ่งเล่มนั้น (1 ปี กับชีวิตที่ผมอยู่ในอเมริกา) เล่าผ่านวิธีคิดของอายุเด็ก 17 ที่ออกจากประเทศไทยครั้งแรก ซึ่งการเล่า วิธีคิดไม่มีการกลั่นกรองอะไรเลย มันเป็นเล่มที่เล่าเรื่องของเด็กคนหนึ่งจากมุมมองของเขา ที่สามารถผ่านเหตุการณ์ยากๆ มาได้
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
เท่ากับว่า บอกได้ไหมว่าหนังสือเล่มนี้คือการเชื่อม Generation?
เจม :
นั่นคือหนึ่งในจุดประสงค์
แต่ว่าถ้าไปอ่านจริงๆ คุณก็จะไม่รู้หรอก คนอ่านอาจจะเข้าใจว่า เจมในปัจจุบันคงก็มีตัวตนแบบนี้ เพราะเราตั้งใจเขียนให้กลับไปเป็นเด็กคนนั้น
มันคือเจม ที่กลับมาจากอเมริกาในร่างไซย่า "ไซย่า" หมายความว่า เจมกลับมาก็บ้าเลย โดยเล่มนี้ตั้งใจเล่าให้ต่อเนื่องจากเล่ม "1 ปี กับชีวิตที่ผมอยู่ในอเมริกา" แต่จริงๆ ไม่ต้องอ่านต่อกันก็ได้
แต่ถ้าอ่านให้ต่อเนื่องกันก็จะมี 1 ปี อเมริกา 1, 1 ปี อเมริกา 2, แล้วก็ James is Back
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเจมคือความสนุกของเรื่องนี้
ก่อนไปอเมริกา เจมคือเด็กที่ไม่มีความมั่นใจ พอไม่มั่นใจเลยเขาเลยรู้สึกว่าเขาโดนกดอยู่ ด้วยอะไรซักอย่าง ทำให้เขาเชื่อว่าเขาทำอะไรไม่ได้เลย เขาไปพบที่อเมริกา ว่าสิ่งที่ทำให้เขามั่นใจ คือสังคม
หนังสือ "1 ปี กับชีวิตที่ผมอยู่ในอเมริกา ซีซัน 1"
หนังสือ "1 ปี กับชีวิตที่ผมอยู่ในอเมริกา ซีซัน 2"
เจม :
สังคมไทยตอนนั้นเนี่ย บอกให้คุณคิดแค่แบบนี้ เท่านั้น
แล้วเจมเนี่ย เป็นตัวละครที่เติบโตในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดที่มีความพิเศษในเรืองนี้ซะด้วย
มันเป็นจังหวัดที่ชัดเรื่องนี้ จนมีคำพูดหนึ่งขึ้นมาเลย คือคำว่า "เลี่ยม"
"เลี่ยม" คือคำที่ใช้กันมากในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเขาใช้ในทุกวัน
อย่างพี่ปอเนี่ย ที่เชียงใหม่ ถือว่าเป็นคนเลี่ยมนะ เพราะมั่นใจเกินไป (หัวเราะ) "เลี่ยม" อารมณ์มันเหมือนคุณเป็นเหลี่ยม ที่ทิ่มออกมาจากความเรียบของวงกลมอ่ะ
แล้วเค้าไม่ได้ใช้กันทั่วภาคเหนือนะ คนอาจจะคิดว่าเป็นคำเมืองหรือเปล่า แต่ผมถามมาหมดแล้ว "เลี่ยม" เขาใช้กันเฉพาะที่เชียงใหม่ (หัวเราะ)
คนเชียงใหม่เนี่ยส่วนใหญ่จะไม่ออกไปกรุงเทพ เพราะเราเชื่อว่าเชียงใหม่เนี่ยมีครบอยู่แล้ว แล้วเราจะไม่ชอบคนกรุงเทพเลย เราจะรู้สึกหมั่นไส้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราหมั่นไส้เขาทำไม
แต่ว่า ถ้าคุณเป็นคนเชียงใหม่แล้วคุณทำตัวเหมือนคนกรุงเทพอะ คุณคือคนเลี่ยม (หัวเราะ)
เลี่ยม เป็นการบอกลักษณะของคนๆ นั้น
แล้วพอโดนพูดบ่อยๆ คุณจะไม่อยากเลี่ยม คุณจะอยากเป็นคนติ๋ม มันเป็นคำที่ทำให้คุณไม่อยากกล้าแสดงออก เพราะถ้าคุณเป็นผู้ชาย แล้วคุณเลี่ยม คุณอาจโดนต่อยปากแตกได้เลย เพราเขาจะไม่ชอบ เพราะคุณมั่นใจเกินไป เกินมาตรฐานของคนเชียงใหม่
แล้วนี่คือประเด็นของหนังสือเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้กำลังตั้งคำถามกับสังคม ที่จริงๆ แล้วมีความคิดเชิงว่าหมั่นไส้คนอื่น เพราะว่าคนอื่นทำได้ดี ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูก แต่ไม่ถูกใจเนี่ย คุณเลี่ยม แล้วคุณก็จะไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด
นี่คือคีย์ที่ "James is Back" ต้องการเล่า และไม่ได้แค่เทียบเชียงใหม่
การที่คุณไม่ชอบคนๆ นึง อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะพูดถูกหรือไม่ถูก แต่เขาพูดไม่ถูกใจคุณ แค่นั้น
เจม :
ขอย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเจม... พอดีเลย ผมขอพูดถึงคนๆ นึง ครูทอมครับ (พี่ทอม คำไทย กำลังเดินผ่านพอดี)
พี่ทอม เขาเคยอยู่จังหวัดเชียงใหม่ และเขาเคยอยู่โรงเรียนมัธยมต้นเดียวกับผมโดยบังเอิญ แต่เป็นรุ่นพี่ 1 ปี แต่ว่าพี่ทอมเนี่ย เป็นนักเรียนชั้นเยี่ยม สมัยเรียนเป็นนักเรียนตัวอย่าง ถูกส่งประกวดตลอดเวลา เป็นนักเรียน top class เรียนเก่ง - คือเราเคยคุยกัน แล้วพบว่าเค้าไม่ได้มีปัญหาแบบผม
แต่ผมเนี่ย ตอนนั้นย้ายมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เรามาจากจังหวัดที่ไม่ค่อยมีความภูมิใจในตัวเองอยู่แล้ว เพราะมันจังหวัดเล็ก แล้วมาอยู่เชียงใหม่
เชียงใหม่ตอนนั้นเนี่ย ทั้งจังหวัด โดยเฉพาะโรงเรียนที่ผมไป เป็นโรงเรียนที่พูดคำเมือง ตอนผมย้ายไปไม่มีใครบอกผมซักคนว่าจังหวัดเชียงใหม่เขาพูดภาษาอะไรกัน
แล้วผมพูดกลาง พูดกลางมาทั้งชีวิต เพราะที่แม่ฮ่องสอนไม่มีใครพูด - คือมันเป็นจังหวัดที่ประชากรอพยพเข้าไปอยู่หลากหลายอ่ะ มีทั้งคนจากนนทบุรี คนไทใหญ่ กะเหรี่ยง คนพูดเมือง คนที่นั่นเลยพูดไทยกลางเพื่อสื่อสารกัน คนแม่ฮ่องสอนพูดสำเนียงกรุงเทพ
ผมไปเชียงใหม่โดยทีผมไม่เข้าใจภาษาคำเมืองเลย แม่งรู้สึกเหมือนอยู่ต่างประเทศมาก
ทีนี้มันเป็นอย่างนี้ วันนั้นเนี่ยมันเป็นช่วงวันแรกที่ไปโรงเรียน แล้วมันต้องมีคนเข้ามาหาผม
เขาถามผมว่า "ข่ะจั๋ยเลาะ"
คือตอนนั้นไอ้คนที่ถามผมเนี่ย มันทำเวรอยู่ ส่วนผมก็กำลังเก็บกระเป๋าอย่างเชื่องช้า ผมก็นึกว่ามันหวังดีเลยเข้ามาถามผม ว่าเรียนที่เรียนอ่ะเข้าใจไหม เพราะไอ้เสียงคำว่า "ข่ะจั๋ยเลาะ" มันคล้ายๆ กับคำว่า "เข้าใจไหม"
"ธีรนัย ข่ะจั๋ยเลาะ"
เราก็คิดว่า มันเป็นห่วงการเรียนเราะแน่เลย นักเรียนใหม่ มาวันแรก
ทีนี้ผมก็มองหน้าเขาแล้วก็ พูดว่า "เข้าใจนะ" แล้วผมก็นั่งเก็บของไปเรื่อยๆ
แล้วมันก็พูดอีกที
"ข่ะจั๋ยเลาะ"...
ปรากฏว่าไอ้เนี่ยมันกำลังทำเวรครับ กำลังถูเลย แล้วไอ้ "ข่ะจั๋ยเลาะ" เนี่ย มันแปลว่า "รีบๆ มึงรีบๆ" ลุกจากตรงนี้ได้ไหม
โอ้โห (หัวเราะ)
แล้วมีวันนึงผมป่วย ภาษาคำเมืองป่วยมันพูดว่า "เม่อย" แต่เราเข้าใจว่า "เม่อย" ก็คือ "เมื่อย"
โอ้โห แล้ววันนั้น กูป่วยหนักมาก ปวดหัว เป็นไข้หวัดใหญ่
"ธีรนัย เม่อยก๋า..."
ผมก็แปลว่า "ธีรนัย นายรู้สึกเมื่อยเหรอ"
เหอะ ไม่ กูไม่ใช่แค่เมื่อย มึงดูหน้าของกู กูป่วยขนาดนี้ กูจะตายอยู่แล้ว กูไม่ใช่แค่เมื่อย มึงช่วยเอากูไปหาหมอเถอะ
(หัวเราะ)
คือเรื่องทั้งหมดนี้ มันทำให้ความมั่นใจทั้งหมดน้อยลงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
แล้วที่บ้านก็ไม่เคยบอก ว่าผมจะโดนย้ายมา อยู่ๆ ก็โดนย้ายมาเลย ความมั่นใจถูกทำให้ลดลงเยอะมาก จนเราไม่กล้าพูดกับใครเลย
เชื่อไหม ผมเริ่มมามั่นใจในการพูดอีกครั้ง คือตอนย้ายมาอยู่กรุงเทพ ซึ่งก็คือ อายุ 18 แล้ว หลังจากเรื่องนี้แล้วผมเข้าใจว่าอ้อ ที่เราไม่มั่นใจขนาดนั้น เพราะว่าเราอยู่ในจังหวัดที่คนไม่ถนัดกับการพูดภาษาไทย
เราเลยไม่กล้าแสดงออก เพราะว่าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เราสื่อสารไปอะ คนที่รับฟังเราเข้าใจเราไหม
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
ทีนี้หนังสือ "1ปี อเมริกาฯ" มันดังได้ยังไง
เจม :
จริงๆ แล้ว มันดังมาจากความเก็บกดของเจมส์คนนั้นแหละ ที่โดนกดด้วยสังคมเชียงใหม่มาตลอด แต่เจมในเล่มนั้นยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร เลยระเบิดที่อเมริกา ไปโวยวาย ด่ากราดทุกอย่างในอีเฟรต้า
มันเป็นหนังสือ non-pc นะ คือ ไม่มีการกรองให้กับผู้อ่าน หลังๆ มีดราม่าด้วย (หัวเราะ)
"1 ปี อเมริกา" เป็นเรื่องของเด็กคนนั้นไปปลดแอคทุกอย่างที่อเมริกา แล้วก็ทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำกันที่โน้น แม้แต่คนเมกันยังไม่กล้าทำเลย
แล้วจากเหตุการณ์ในหนังสือ "1 ปี อเมริกา" เจมคนนั้นก็เติบโตขึ้น เรียนรู้อะไรบางอย่าง แล้วเขาก็กลับมาประเทศไทย ด้วยพลังไซย่า
ซึ่งก็เป็นที่มาของเล่มนี้ "James is Back"
เป็นเล่มหลังจาก "1 ปี อเมริกาฯ" ที่เจมรู้แล้วว่า สิ่งที่กดเขาไว้คือสังคม เขาเลยตั้งใจจะกลับมาปฎิวัติระบบทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น นี่คือเรื่องราวของเล่มนี้
ในเรื่อง เจมคือเด็กอายุ 18 คนนึง ที่ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว อะไรมึงก็มาเหอะ กูไม่กลัว เจมกลัวแค่การไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แค่นั้น
เจมกลัวการไม่ได้แสดงออกอย่างที่ในหัวเขาคิด
แต่ตอนนั้นมัน 17 ปีที่แล้วไง ยุค Gen Y ปรากฏว่าคนที่เป็นเจนเดียวกับเจมก็จะไม่เข้าใจ เพื่อนในห้องจะรู้สึกว่า ไอ้นี่มันทำอะไรวะ มึงไม่เคารพอาจารย์เลย มึงนิสัยไม่ดี
เพราะว่าเจมในตอนนั้น เอาอเมริกามาเต็มๆ แล้วเอาไปใช้กับคนเชียงใหม่ทั้งหมด เท่านี้คุณก็จะเห็นความขัดแย้งแล้ว คนที่นั่นที่เขาไม่ชอบคนเลี่ยมอยู่แล้วอะ เขาจะรู้สึกยังไง แล้วเจมที่กลับมาจากอเมริกามันเกินจากคำว่า "เลี่ยม" ไปไกล
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
สิ่งที่เจมส์ทำตอนนั้นมันเหมือนกับเป็นตัวแทนไหม มันคงจะมีกลุ่มเล็กๆ ที่เขาไม่กล้าพูดไหม
เจม :
ผมเชื่อว่าเป็น
แต่เหตุการณ์ในเรื่องนี้ มันอยู่ในสมัยก่อนมีโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก มันเลยเหมือนกับเจมส์ที่อยู่โรงเรียน แล้วก็เหมือนเป็นคนบ้าคนเดียวอะ (หัวเราะ)
คือมันมีฉากนึงในเรื่อง "James is Back" ... เอางี้... ที่โรงอาหารโรงเรียนพี่ปอ พี่ปอมีบัตรประกันภาชนะไหม?
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
บัตรประกันภาชนะ คืออะไรอะ? สมัยนั้น ไม่มี
เจม :
นั่นล่ะประเด็น พี่ปอ
คือเจมส์กลับมาจากอเมริกา แล้วพบว่าโรงเรียนที่เจมเคยเรียนอยู่ เวลาซื้ออาหารกลางวันมันไม่ใช่ว่าจะเอาเงินไปซื้อได้กินข้าวเลยนะ ที่โรงเรียนนี้คุณต้องแนบบัตรภาชนะ ยื่นไปพร้อมกับการซื้อข้าวด้วยด้วย ไม่งั้นไม่ได้กิน
พอกินเสร็จแล้ว คุณก็ต้องเอาจานไปคืน คุณจึงจะได้บัตรประกันภาชนะกลับมา
งงไหม?
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) : (ตั้งใจฟัง)
เจม :
ทีนี้เจมที่กลับมาจากอเมริกาก็เลยตั้งคำถามว่า บ้า อะไรวะเนี่ย เพราะว่าจุดประสงค์ของการกินข้าว มันคือการที่นักเรียนได้กินข้าวให้อิ่มแล้วกลับไปเรียนต่อไช่ไหม
แต่ที่โรงเรียนเนี่ย กลับมาห่วงว่านักเรียนจะไม่คืนจานมากกว่า
ประเด็นก็คือ ถ้าวิธีคิดแบบนี้ถูกต้องจริง ทุกโรงเรียนต้องมีบัตรประกันจานหมดแล้ว ปัญหาก็คือ เจมกลับมาจากอเมริกา เจมไม่มีบัตรประกันจาน เพราะเจมจำไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน เพราะไปเรียนอเมริกามา 1 ปี
มันเลยหมายความว่า ในพักกลางวันนั้น เจมกินข้าวไม่ได้
คือถ้าเจมมีเพื่อน มันไม่ไช่ปัญหาหรอก แต่เพื่อนผมเจมเขาเรียนจบเข้ามหาวิทยาลัยหมดแล้ว เจมเรียนกับรุ่นน้องที่เจมไม่รู้จักซักคน
แล้วทีนี้เจมส์ก็ตั้งคำถามว่า เออ แล้วกูจะกินข้าวยังไงวะ กูไม่มีเพื่อนทำยังไง
คือวันนั้นถ้าเจมไม่มีน้องชายที่เรียนอยู่ที่เดียวกันเอาบัตรนี่มาให้ เจมจะไม่ได้กินข้าวแน่นอน แล้วเจมก็คิดว่าการใช้บัตรประกันจานเนี่ยมันนำสู่ปัญหาอีกมากมายในสังคม
เช่น เมื่อคุณไม่มีบัตรคุณยืมเพื่อนแล้วไม่คืน เพื่อนก็ไม่ได้กินข้าว
พอกินข้าวไม่ได้ แต่ทุกคนต้องกิน ในที่สุดมันก็จะมีนักเรียนไปที่ร้านอาหารแล้วหาวิธีที่ตัวเองจะได้กิน โดยไม่ต้องใช้บัตร อาจจะเป็นการไปคุย หาของไปให้ เป็นการสอนวิธีคิดแบบติดสินบนให้กับคนในสังคม
พอเราแก้ปัญหาที่ควรแก้ได้จากการฝึกด้วยระเบียบ มาเป็นระบบอะไรก็แล้วแต่ มันจะนำมาซึ่งการหาทางออกที่เต็มไปด้วยปัญหาอีกมากมาย
เจม :
คำนำหนังสือเล่มนี้ เขียนไว้ว่า
"ถ้าคุณอ่านสนุกอยู่ อาจเป็นเพราะว่าระบบการศึกษาไทยมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย"
คือเราเติบโตมาในสังคม ที่ผู้ใหญ่หลีกเลี่ยงการตอบคำถามเด็ก ว่าทำสิ่งๆ นี้ไปเพราะอะไร ผู้ใหญ่ในเรื่อง "James is Back" ก็คืออาจารย์
จริงๆ แล้ว เจมในเล่มเขาไม่ได้โทษอาจารย์เลย เขาโทษระบบ เพราะอาจารย์ก็คือเหยื่อของระบบ แล้วมันไม่ได้เป็นแค่ที่ระบบโรงเรียน มันลามไปทุกระบบในประเทศนี้
แล้ว "James is Back" ก็เป็นแค่หนึ่งในผลลัพท์ของระบบ
แต่เจมเป็นผลลัพท์ที่กำลังกลายพันธุ์ จากระบบที่ผิดเพี้ยน
อินสไปร์การเขียนเล่มนี้ ในตอนแรก เพราะอยากพูดถึงระบบ แต่เราก็มีโจทย์ว่าจะต้องให้การเติบโตเชื่อมกับเรื่องก่อนด้วย คือเล่ม "1 ปี กับชีวิตที่ผมอยู่ในอเมริกา" ซึ่งมี 2 ซีซัน
พอเขียนด้วยโจทย์นี้ เวลาคุณไปอ่านคุณจะรู้สึกว่าไอ้เด็กนี้มันไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เพราะมันต้องเป็นอย่างนั้น เล่มนี้เขียนด้วยความคิดของเด็ก อายุ 18 ที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ
ชี้ดาบ ปีนี้เป็นปีที่ 9 เราทำหนังสือมา 16 เล่ม แล้วทุกเล่มใครอ่านก็ชอบ แต่เล่มนี้ครึ่งนึงชอบ ครึ่งนึงจะไม่ชอบ (หัวเราะ)
เป็นหนังสืออ่านง่าย ที่หลายคนบอกว่า อ่านยาก
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
"James is Back" พูดถึงระบบพวกนั้น แล้วเล่าผ่านบัตรประกันจาน?
เจม :
ใช่
ซึ่งถ้าคุณซื้อตัวเล่มไปแล้วเนี่ย คุณก็จะได้บัตรประกันจานไปด้วย แล้วบัตรประกันจานก็จะมี QR code ด้านหลัง สแกนไปก็จะไปเจอกับโรงเรียนชูโล่วิทยาคม
ซึ่งบัตรประกันจานที่แจกมันเป็นแค่กิมมิกเฉยๆ มันคือตัวแทนของการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่ทำให้คุณเจอปัญหาใหม่ ใหญ่กว่าเดิม
มันชวนตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องกลับไปแก้ไขด้วยนิสัยของเขา วิธีคิดของเขา เพราะการแก้ที่ปลายเหตุมันไม่ช่วย
เราโตมาในวิธีคิดแบบต้องถูกบังคับเพื่อให้เราต้องทำอะไรบางอย่าง แต่นั่นอาจะเป็นเพราะคุณไม่เคยคิดแก้มันตั้งแต่ต้นเหตุ
สมมติถ้าเกิดคุณสร้างห้องอาหารใหม่ คุณก็ต้องคิดแต่แรกแล้วนะว่านักเรียนเก็บจะจานยังไง
ไม่ใช่อยู่ๆ คุณจะสร้างใหญ่ๆ ผลาญงบรัฐ คาดหวังว่าเด็กมันจะเดินไปเก็บได้ พอเด็กไม่เก็บก็ไปโทษว่าเด็กไม่เอาไหน จริงๆ เรารู้อยู่แล้วด้วยซ้ำว่าเด็กมันขี้เกียจ แหม่คุณยังขี้เกียจเลย คุณก็รู้ มันต้องออกแบบตั้งแต่จุดเริ่มต้น เราถึงจะปรับพฤติกรรมของเด็กได้
อย่างโรงเรียนอเมริกัน ห้องอาหารถูกออกแบบมาให้เล็ก พอดีจำนวนคน ถูกคิดมาให้มีโฟลว์ในการเดินเข้ามา การกิน ก่อนออกห้องก็มีที่เก็บจาน พอมันง่าย ก็ไม่มีใครไม่เก็บ ไม่ต้องมีบทลงโทษด้วยซ้ำ
ถ้าคุณออกแบบโดยไม่คิดแต่แรก คุณก็ต้องสร้างระบบอะไรไม่รู้มาแก้ แล้วทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด อย่างบัตรประกันจาน
แล้วอีกประเด็นของ "James is Back" คือการตั้งคำถามถึงสังคม ว่าแท้จริงแล้ว ที่ประเทศเรามันไม่เปลี่ยนไปเลยเนี่ย เพราะว่าเรามีสังคมที่เราไม่ฟังความเห็นต่างที่เราไม่ชอบใจหรือเปล่า
เล่มนี้จะท้าทายวัฒนธรรมในตัวคุณ ว่าคุณรู้สึกไม่ชอบ เจมเลิกฟังเจมหรือเปล่า
หรือว่าคุณจะทนฟังเจมส์ต่อไป ว่าเจมส์จะพูดอะไร
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
แปลว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่ไช่ว่าคุณอ่านแล้วถูกใจรึเปล่า แต่มันหมายความว่าคุณมีวิธีคิดกับตัวเองอย่างไร?
เจม :
ก็อาจจะเป็นแบบนั้น...
แต่ตอนเขียนก็ไม่คิดลึกขนาดนั้นหรอก (หัวเราะ) การที่คุณไม่ชอบเจม มันเป็นรีแอคตามธรรมชาติของสังคม เมื่อเราเจอเรื่องที่แปลกจากสิ่งที่เป็นอยู่ เรามีแนวโน้มที่จะไม่ยอมรับมันก่อน
แต่การเปลี่ยนแปลง หลายครั้ง มันคือการฝืน ทำในสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคย
ตัวเล่ม ที่คั่น กิมมิกบัตรประกันจานสีบานเย็น
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
กังวลว่าเล่มนี้จะเหมือนคนอายุ 35 มาเขียนรึเปล่า
เจม :
บอกเลย เล่มนี้ การันตีโดยการโดนด่า ว่าตัวละครตัวในเล่มเด็ก มันด่าทุกเรื่องโดยไม่มองอะไรให้รอบด้าน บางคนทนไม่ไหวกับความเป็นเจม จนทนอ่านต่อไม่ได้
แต่นั่นก็คือถูกแล้ว เพราะว่าความเป็นผู้ใหญ่ในสังคม คือการที่คุณเข้าใจหลายอย่างมากพอที่คุณไม่ตัดสินอะไร แต่กับเด็กคนนึงที่เห็นมาแค่นี้ แน่นอนเค้าจะต้องตัดสิน เพราะเขามีข้อมูลอยู่แค่นี้
พอคุณโตขึ้น เห็นข้อมูลมากขึ้น โดยธรรมชาติคุณจะตัดสินน้อยลงโดยอัตโนมัติ
ฉะนั้นเจมส์ในเล่มนี้ ที่อายุ 18 มันจะคิดแบบเด็กที่มีข้อมูลเท่านี้ - มันโปรอเมริกา มันไม่ชอบโรงเรียนที่มันอยู่ มันเกลียดอดีตของมัน
(ในขณะที่เจมในวัย 30 จากเรื่อง "13 Years After" มันอีกเรื่องแล้วนะ มันกลายเป็นคนที่ไม่ชอบอเมริกา และรักอดีตของตัวเองไปแล้วด้วยซ้ำ)
แล้วตอนผมเขียน ผมรู้สึกสะใจมากนะ (หัวเราะ) เพราะการเขียนเล่มนี้ ทำให้ผมในวัย 35 ได้กลับไปคิดแบบเด็กคนนั้นอีก ได้ด่าอาจารย์ ได้ด่าหลายอย่างๆ ที่เราในวัยนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะเราเป็นผู้ใหญ่ เราคิดเยอะขึ้น
มันเลยสนุกมากตอนที่เขียน เพราะได้ปลดปล่อย ได้เป็นตัวเองในวัยที่ยังไม่ต้องคิดอะไรมากขนาดนี้ หลังๆ ผมคิดอยู่บ่อยๆ นะ ว่าสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุขเนี่ย คือการที่เราต้องคิดเยอะ
เจมส์ในวัย 18 ตอนนั้นเนี่ยเติบโตมาด้วยพลัง ไม่กลัวใครจะคิดยังไง เขาทำทุกอย่างและแก้ไขปัญหาแบบที่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว
ผมคิดว่า เขาเข้าถึงความสุขได้มากกว่าผมในวัย 35 นะ (หัวเราะ)
เขาเข้าใจการเป็นตัวของตัวเอง และเข้าใจการคิดให้น้อยลงจากสังคมที่บอกให้เราคิดดีๆ ก่อนนะ เจมส์ในเล่มบอกว่า ถ้าคุณคิดดีก่อนทุกอย่าง หมายความว่าเราจะไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเลยนะ
เจมส์ไม่คิด และทำตามสัญชาติญาณ และเจมส์ก็ปรับตัว และเติบโตมาเป็นเจมในวัยนี้
ที่กำลังพูดอยู่นี้
ผู้สัมภาษณ์ (คุณปอ) :
แล้วเล่มนี้ จริงๆ แล้วเจมตั้งใจสื่อสารกับใคร?
เจม :
จริงๆ แล้ว ผมต้องการสื่อสารถึงเจน Z นะ มันมีโจทย์บางอย่างที่ผมกับเจ็นนี้เจอเหมือนกัน (มันมีหลายคนบอกว่าผมเหมือนเจ็น Z ในยุคของเจ็น Y) และหนังสือเล่มนี้จะบอกคุณในตอนที่คุณอ่านจบ แต่คุณจะตีความยังไงมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคุณ
ในขณะที่เจน Y เราแค่อยากสื่อสารให้คุณรู้ว่า ประเทศต่อจากนี้ไปมันจะถูกผลักดันด้วยคนเจนนี้ และถ้าคุณห้ามเขาเป็นตัวเองไม่ได้หรอก
ก็มีหลายคนที่อ่านจนจบเขาก็บอกว่า เจมมันก็ไม่ได้ผิด มันก็แค่ทำแบบที่มันเชื่อ สังคมรึเปล่าที่ไม่ชอบเจมส์แล้วทำให้คนแบบเจมส์ไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่สุดท้าย เจมในเวอร์ชั่นที่วิวัฒนาการแล้ว ก็หาทางจนได้
James is Back เป็นแค่จุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการนี้ ซีรีส์นี้จริงๆ วางไว้ทั้งหมด 3 เล่ม อีกสองเล่มคือ "James was here" กับ "James is Gone" มันคือไตรภาคที่ตั้งใจแตกประเด็นสังคมออกมา
-----
งานหนังสือศรีราชา
4 พ.ย. 2023